Mom's Life

แม่มือใหม่คนนี้เธอเลี้ยงลูกคนเดียว 3 เดือนเต็ม! ไม่ได้ออกจากบ้านแม้แต่ก้าวเดียว เธอทำได้ยังไง?



 

ใครที่เพิ่งคลอดรู้จะเข้าใจที่สุดว่า จากที่เราเป็นผู้หญิงแสนจะอิสระ เมื่อมีเด็กน้อยเกิดขึ้นมาในอ้อมกอด ที่เราต้องดูแลเป็นครั้งแรกในชีวิต มันทั้งดีใจที่เจอลูก แต่อีกด้านหนึ่งก็ดีเพรสต่อใจแสนสาหัสเหมือนกัน ไม่มีอะไรจะเจ็บปวดในการเลี้ยงลูกไปกว่า 3 เดือนแรกอีกแล้ว แต่เธอคนนี้ น้องปู ปิยนุช ชัยชาญพิมล คุณแม่วัย 33 ปี คลอดลูกสาวตัวน้อย น้องปั้นหยา ความแข็งแกร่งของน้องปูที่สุด จนทำให้มัมสกรีมอยากจะมอบโล่ห์ให้เธอคือ “เธอไม่มีใครสักคนเดียวช่วยเลี้ยงลูก” แม้แต่นิดเดียวเลย เป็นเวลา 3 เดือนเต็ม!!!

 

แม่คนไหนที่เพิ่งคลอดลูก แบบว่าท้อเหลือเกิน ลองอ่านเรื่องของเธอดูนะคะ ยังไงก็ผ่านได้แน่นอนค่ะ

 

ก่อนท้องน้องปูเป็นสาวทำงานอาชีพที่ใครๆ ก็แอบอิจฉาเธอ เธอเป็นดิจิตอล เอดิเตอร์ให้กับนิตยสารคลีโอ เธอเจอกับสามีแบบเพื่อนแนะนำ และทั้งสองคบกันเกือบ 3 ปี ก็เลยแต่งงานกัน ทั้งสองอยากมีลูกเหมือนกัน และแต่งงานปีแรกก็ตัดสินใจเลยว่า “เราจะมีลูกแล้วนะ” ไม่นานเธอก็ท้อง ไม่น่าเชื่อว่าหลังจากนั้นสามเดือนจะมีเรื่องที่น้องปูบอกว่า “ทุกข์ที่สุดในชีวิตเลย” เธอสาวขนาดนี้ ร่างกายก็แข็งแรง แต่พอถึงเวลาต้องตรวจเลือดคัดกรอง ค่าเลือดของเธอคือ 1:120 แปลว่า ใน 120 คนลูกเธออาจมีโอกาสเป็นดาวน์ได้ แม่ๆ ทุกคนที่ท้อง จะเข้าใจค่าอันนี้ดี เพราะด้วยอายุของน้องปู ปกติค่าจะอยู่ที่ 1:1,000 ขึ้นไปแน่นอน หัวใจเธอพังทลายตั้งแต่ท้องสามเดือนแรก

วันแรกที่รู้ว่าท้อง

 

คุณหมอเรียกมาพบก่อนผลตรวจเลือดจะออก

“คิดเหมือนกันว่าเรานอนน้อย กำลังสร้างเว็บอยู่ วันหนึ่งนอนสองสามชั่วโมงเอง ก็คิดว่าลูกจะเป็นอะไรมั้ย แต่ไม่น่าจะเป็นนะ ก็ไปตรวจคัดกรองเรื่องดาวน์ซินโดรม ปรากฏตรวจเสร็จจริงๆ พอเดือนหนึ่งถึงจะฟังผล แต่ของเราสองอาทิตย์หลังจากนั้น โรงพยาบาลโทร.มาบอกให้มาคุยกับหมอหน่อย พอมาถึงหมอเปิดประโยคว่า ลูกเรามีโอกาสเสี่ยงเป็นดาวน์ ค่าเลือดเรา 1:120 เท่านั้นล่ะ เบลอไปหมดเลย หมอให้เลือกว่าจะตรวจน้ำคร่ำ หรือตรวจพาโนราม่า แต่ถ้าเจาะน้ำคร่ำก็แท้งได้ 2% เราเดินร้องไห้ออกมาเลย ร้องจนทุกคนในโรงพยาบาลตกใจหมด”

 

เครียดที่สุดในชีวิต แต่ก็ขอปะทะเลยแล้วกัน

น้องปูเล่าว่า เธอขับรถมาถึงบ้าน แล้วทนไม่ไหว นั่งหาข้อมูลก่อนว่าถ้าลูกเธอเป็น จะเลี้ยงเขายังไง เสร็จแล้วตัดสินใจกลับมาโรงพยาบาลใหม่ เสียเงิน 30,000 บาท ให้หมอตรวจพาโนราม่าเลย ระหว่างรอผลเธอเครียดมาก คิดตลอดว่าถ้าลูกเป็นจะเลี้ยงดี หรือไม่เก็บเค้าไว้ดี น้องปูบอกว่ามองไปรอบๆ ตัวเห็นคนอื่นเค้าโอเคกัน ก็คิดตลอดว่า ทำไมต้องเป็นเรา แต่ก็ทำให้ได้สติว่า คนเราจะโกรธจะเกลียดกันไปทำไม ชีวิตก็มีอยู่แค่นี้ เลยพูดกับตัวเองว่า “ขอเรามีความสุขอีกทีได้มั้ย” เหตุการณ์นี้ทำให้หลังจากนั้น เวลาน้องปูโกรธอะไรใคร ก็จะนึกถึงวันนั้นว่า การมีลูกสุขภาพดี มันคือความสุขแท้จริงของเราที่สุดแล้ว

 

ยินดีด้วยนะครับ คุณได้ลูกสาว

พอครบวันนัดฟังผล เธอลุ้นที่สุดในชีวิต เปิดประตูเจอหน้าหมอ หมอบอกว่า “ยินดีด้วยนะครับ คุณได้ลูกสาวแล้ว” เธอบอกว่า “เป็นวันที่ดีใจที่สุดในชีวิตจริงๆค่ะ” ผ่านเรื่องนี้ไป เธอเลยไม่กลัวอะไรอีกแล้ว ไม่ได้คิดเลยว่าหลังคลอดจะเป็นยังไง น้องปูก็ใช้ชีวิตคุณแม่ไปตามปกติ จนพอใกล้วันคลอด

 

พี่ชายเกิดอุบัติเหตุจนเดินไม่ได้

อีกครั้งที่น้องปูต้องร้องไห้หนักมาก ก่อนคลอดไม่ถึงสองอาทิตย์ พี่ชายเธอที่ต่างจังหวัดประสบอุบัติเหตุตกจากระเบียงบ้านลงมา หมอทุกคนฟันธงว่า ข้อแตกละเอียดแบบนี้ เขาจะเดินไม่ได้อีกต่อไป แม่ของเธอที่คุยกันว่า ถ้าลูกเธอคลอดจะมาดูลูกที่กรุงเทพ ให้ ก็ต้องมาดูแลพี่ชาย น้องปูบอกว่าความรู้สึกตอนนั้นคือ “อึ้งมากๆ เครียดมากๆ ด้วย รู้เลยว่าถ้าเครียดจะไปลงลูกแน่ ต้องเตือนตัวเองตลอดว่า ต้องตัดใจ” เธอไม่อยากให้ความเครียดกระทบลูก เลยคิดว่าไปหาคุณหมอขอให้ผ่าลูกออกเลยได้มั้ย “คือหมอบอกท้องได้ 37 อาทิตย์แล้ว ลูกปลอดภัยแล้ว จะให้ออกมาเลยก็ได้” แต่คนรอบตัวเธอทุกคนบอกว่า อย่าเพิ่งเลย ให้ลูกอยู่ให้นานที่สุดเถอะ

 

สองอาทิตย์ก่อนคลอด ไม่เคยสบายใจเลย

ถ้าเป็นแม่คนอื่นก็อาจตื่นเต้น ลูกจะเกิดแล้ว ไปกินอาหารอร่อยๆ นอนเล่นฟังเสียงลูกดิ้น แต่ของน้องปู เธอบอกว่า “ต้องออกไปจัดการเรื่องพี่ชายทุกวัน ต้องโอนตังค์ให้แม่ คอยดูเรื่องหมอ เพราะแม่ต้องหาทางรักษาพี่ อยากบินไปช่วยแม่ที่อยู่ต่างจังหวัดเดี๋ยวนั้น เค้าก็ห้ามขึ้นเครื่อง นั่งรถไปก็ตั้ง 12 ชั่วโมง” เธออยู่กับความรู้สึกห่วงพี่ และห่วงลูกจนถึงวันน้ำคร่ำแตก เธอก็ไปคลอดลูก

 

ความจริงของชีวิตหลังคลอดลูก

แม่ทุกคนน่าจะรู้สึกเหมือนกัน น้องปูบอกว่าตอนอยู่โรงพยาบาลนี่แสนจะดีงาม ไม่คิดเลยว่าวันแรกที่ไม่มีนางพยาบาล จะหนักหนาขนาดนั้น บวกกันว่าวันที่เอาลูกกลับมาบ้าน เป็นวันแรกที่สามีเธอเข้าทำงานที่ใหม่ เธอบอกว่า “งานเข้าทันที เพราะที่บ้านไม่มีใครเลยนอกจากเรา สามี และลูก ไม่รู้จะปรึกษาใครจริงๆ” สิ่งที่น้องปูเจอก็คือ “กลับบ้านมาปุ๊บ ลูกอึเยอะมากๆๆๆๆ คือตอนอยู่โรงพยาบาลนี่เป็นเด็กดีมากเลย ดูดี๊ดี น่ารัก แต่พอกลับมา โห! ร้องทั้งคืนเลย เราก็เจ็บแผลผ่าสุดๆ สามีก็เหนื่อย ต้องตื่นเต่เช้าตี 5 ไปทำงาน บ้านก็เพิ่งย้ายเข้ามาอยู่ มีอะไรต้องซ่อมเพียบ เราอยู่กับลูก 2 คนเท่านั้น แล้วตอนนั้นครอบครัวมีเรื่องมากมายมากๆ ฟังแต่ละเรื่องคือท้อสุดๆ ตอนนั้นคิดเลยว่า ไปอยู่สถานีอนามัยดีมั้ย คืออยากได้ใครก็ได้ อยู่เป็นเพื่อนเราหน่อยเถอะ”

ให้นมแบบนันสต็อปทั้งวันทั้งคืน

 

อาทิตย์แรกร้องไห้ไม่หยุดทุกวัน

น้องปูบอกว่าไม่คิดว่าตัวเองจะเศร้า คือปกติเป็นคนเข้มแข็งมาก แต่เลี้ยงลูกนี่ทำให้ทุกอย่างพังครืน “อาทิตย์แรกร้องไห้ทั้งวันทั้งคืน คิดว่าชีวิตเราไม่เหมือนเดิมอีกต่อไปแล้ว คิดเลยว่า หรือส่งลูกไปให้แม่เลี้ยงที่ต่างจังหวัดดี แล้วใครอย่าโทร.มาหาเราตอนนั้นนะ จะร้องไห้ใส่เขาตลอด ร้องไห้ทั้งวันหนักมากๆ มันเหมือนติดคุก ไม่ออกไปไหนเลย” ยังดีที่เธอมีอาเจ็กมาส่งข้าวให้ทุกวัน เพราะเธอไม่สามารถก้าวออกจากบ้านแม้แต่ก้าวเดียวเลย แต่เธอก็บอกว่าอาหารส่วนใหญ่ก็ข้าวเหนียวไก่ย่างทุกวันนี่แหละ เพราะอาเจ็กก็ต้องดูแลอาม่าที่ไม่สบายเหมือนกัน

 

ลูกไม่หลับเลย ดูดนมทั้งวัน

คนเป็นแม่เท่านั้นจะเข้าใจว่าลูกไม่หลับ มันทรมานสังขารแม่ขนาดไหน “ลูกไม่นอนตอนกลางวันเลย จะดูดนมตลอด แต่ถ้าหลับก็หลับแป๊บเดียว เราก็จะวิ่งไปซักผ้า ตากผ้า เราไม่ได้สระผมเป็นอาทิตย์ เจ็บแผลผ่ามาก คือชีวิตแย่สุดๆ ไป 2 อาทิตย์เต็มๆ คิดเลยว่าเราเป็นซึมเศร้าแน่ๆ” สิ่งที่น้องปูทำซ้ำๆ คือถามเพื่อนทุกคนว่า ทำไมลูกเราไม่นอนกลางวัน ทำไมเราวางลูกไม่ได้เลย วางทีไร ลูกร้องทุกที ก็ต้องวิ่งกลับมาอุ้มใหม่ ชีวิตเป็นแบบนี้ทั้งวัน โทรศัพท์หาใครก็ร้องไห้จนทุกคนงง แต่พี่ๆ ที่เป็นแม่มาก่อนก็ปลอบว่าเข้าใจมากๆ ตอนเขาก็เป็นแบบนี้ จนน้องปูบอกว่า “กลัวลูกมาก” เธอจะบอกสามีก่อนเขาออกจากบ้านเลยว่า “จะไปแล้วเหรอ เรากลัวลูกอะ เรากลัวจริงๆ” คือเธอจะเครียดเวลาลูกร้อง ว่าจะร้องทำไม ไม่รู้จะหาทางออกยังไง

 

สามีคอยอาบน้ำให้ลูกทุกวันที่กลับมาบ้าน

 

ผ่านไป 1 เดือน ทุกสิ่งเริ่มคลี่คลาย

สิ่งที่ทำให้จิตใจน้องปูมีความหวังขึ้น ตอนเธอโทร.ปรึกษาญาติคนหนึ่งเป็นคุณอาที่เลี้ยงลูกเองเหมือนกัน แล้วเขาบอกเธอว่า “เราต้องให้โอกาสเด็กนะ เค้าเพิ่งออกมา เค้าไม่รู้จักโลก” น้องปูบอกประโยคนี้ล่ะ ที่ทำให้เธอเปลี่ยนแอตติจูด มองลูกในมุมใหม่ เธอเริ่มหาข้อมูล ว่าทำไมลูกร้อง เริ่มใจเย็นขึ้น แต่เธอก็มีแอบบอกมาว่า “แต่ลูกก็วางไม่ได้เลยไป 3 เดือนจริงๆ”

 

สิ่งที่เราว่าหนักมากสำหรับเธอคือ น้องปูไม่ออกจากบ้านไปไหนเลยจริงๆ เธอบอกว่า “อุ้มลูกเดินอยู่ในบ้านอย่างเดียว มีวันหนึ่งตอนปลายๆ สามเดือนนั่นล่ะ ได้ออกมาเซเว่นหน้าบ้านเป็นครั้งแรก แค่สิบห้านาทีนะ แต่รู้สึกว่าฟินมากๆ รู้สึกดีมาก เหมือนได้ไปเดินพารากอนยังไงยังงั้น”

แม่คนนี้ ทั้งแกร่ง ทั้งเข้าใจโลกของเด็กแล้ว

จนมาตอนนี้ความอดทนทั้งหมดของน้องปู การต้องอยู่กับลูกที่ติดนมแม่ตลอด และร้องตลอดเวลา ตอนนี้ปั้นหยาน้อย 2 ขวบแล้ว และน้องปูได้กลายมาเป็นกูรูให้กับเพื่อนๆ แม่มือใหม่ ที่น้องปูบอกเราว่า “บอกเพื่อนว่าคิดอย่างเดียวเลยนะว่า ต้องสู้เว้ย!” เธอกลายมาเป็นกูรูที่รู้ทุกเหตุผล ว่าทำไมเด็กร้องไห้ และน้องปูได้ฝากเคล็ดลับให้กับแม่ๆ ว่า

 

1 อย่าคุยกับคนที่กดดันเรา.. เธอบอกว่าแม่แต่ละคนจะมีวิธีเลี้ยงลูกไม่เหมือนกัน เพื่อนเธอบางคนโดนแม่สามีกดดันเรื่องนมแม่จนเครียด จนไม่มีน้ำนมเลย

2 หาอะไรดูระหว่างให้นมลูก.. ตอนแรกน้องปูไม่ดูทีวี ไม่อะไรเลย เพราะตั้งมั่นว่าไม่อยากให้ลูกได้รับกลิ่นอายของพวกทีวีตั้งแต่เด็ก แต่เธอบอกว่าสิ่งที่ช่วยเธอได้คือ “ได้ดูซีรีย์สอันหนึ่ง ผู้หญิงคนหนึ่งมีลูก 19 คน ดูแล้วแบบรู้สึกเลยว่า เค้ายังเลี้ยงลูกได้ เราก็ต้องเลี้ยงได้สิ แล้วทำไมเค้ายังดูชิลล์อะ แสดงว่าเรานอยด์ไปแน่ๆ แต่ก็มีประโยคหนึ่งนะที่เธอพูด เราขำเลย เธอบอกว่าในเรียลิตี้ตามติดชีวิตแม่มือใหม่ของเมืองนอก แม่ๆ ทุกคนจะพูดเหมือนกันว่า “พอจอร์จกลับมา ฉันก็สบายใจมากเลย””ไม่ต้องยึดติดกับกฎต่างๆ ที่ฟังมา.. อย่างของน้องปู ในเมื่อแม่นอนไม่พอขนาดนี้ เธอเลยให้นมลูกท่านอน คือนอนอยู่แล้วให้ลูกดูดนม แล้วเธอก็หลับไปเลย แล้วลูกก็หลับตาม

3 หาสาเหตุหลักๆ ที่ลูกร้องให้เจอ.. เธอบอกว่ามีไม่กี่เหตุผลที่ลูกร้องหรอก ท้องอืด หิว ฉี่เต็ม ร้อน ง่วง สังเกตลูกดีๆ และทุกครั้งที่ให้นมเสร็จ ถึงลูกจะหลับ ก็ให้อุ้มพาดบ่าตบเรอให้ออก จะช่วยให้เค้าหลับยาวได้มาก

4 ดูแลตัวเองบ้าง.. ไปสระผมเถอะ ไปหาอะไรดีๆ กินเถอะ ถ้าฝากลูกได้กับใคร ฝากเถอะ ปั๊มนมใส่ขวด ให้ลูกกินนั่นล่ะ อย่าต้องยึดเต้ามาก ลูกไม่เป็นไรจริงๆ แต่เราน่ะจะตายก่อน

 

หลังสามเดือน น้องปูก็กลับไปทำงาน เธอบอกว่า “เราต้องสร้างคุณค่าให้ตัวเอง แต่ไม่ใช่ว่าอยู่บ้านไม่มีคุณค่า งานที่บ้านก็หนักมากๆ แต่การที่ต้องเลี้ยงลูกเองทั้งวัน มันเครียดมาก จำได้เลยว่าตอนปั๊มนมนี่ มองฟ้าทีไร แบบว่าอยากกลับไปทำงาน” น้องปูเลือกเป็นแม่ที่บาลานซ์ทั้งลูก และชีวิตงาน “ออกมาทำงานข้างนอกจะได้คอนเน็คชั่น ได้ประสบการณ์ ชีวิตเข้มข้นเชียว เพราะถ้าอยู่กับลูกทั้งวันทั้งคืน เราอาจโดนกลืนเข้าไปในอาณาจักรแม่ลูก ถ้าเราทำงาน ยังมีสังคมมาเบรคๆ เราเอาไว้ แต่ก็แล้วแต่สถานการณ์ของแต่ละคนนะคะ”

ห่างกันคือไปทำงานวันแรกหลังจากอยู่ด้วยกัน 2 คนตลอด 90 วัน

 

ถ้ามีลูกอีกคนล่ะ น้องปูบอกว่า “จะชิลล์ไปเลยค่ะ” แล้วเธอก็หัวเราะตาใส

เอ้า! เอาใจช่วยแม่ๆ ทุกคนค่ะ

ทุกวันนี้ปั้นหยาก็เป็นเด็กร่าเริง สดใสมากๆ

 

Facebook.com/momscream

copyright 2017 www.momscream.com

 

Tags: ,
27 January, 2017
Mom's Life