Mom's Life

เราจะรู้ได้ยังไง ว่าออกจากงานมาเลี้ยงลูก คือสิ่งที่ใช่! เธอคนนี้มีวิธีคิดแค่ข้อเดียวเลย!



แนนซี่ หรือ วรรณวิมล ปิณฑวิรุจน์ หญิงสาวที่เพิ่งเข้าสู่ชีวิตความเป็นคุณแม่ แนนซี่เคยเป็นผู้หญิงทำงานรุ่นแอ็คทีฟ ไฟแรง มีอะไรแนนซี่สู้ทุกสิ่ง แนนซี่ชอบทำงานมาก และไม่เคยคิดเลิกทำงานประจำ แต่…วันที่เธอเริ่มมีลูก เมื่อเจอชีวิตจริงของผู้หญิงที่ต้องเป็นทั้งแม่ ภรรยา และผู้หญิงทำงาน แนนซี่ต้องกลับมาถามตัวเองอีกครั้ง ว่าสิ่งนี้ใช่มั้ย! แล้วเธอก็เจอคำตอบที่เธอมั่นใจว่า นี่ล่ะ! คือใช่ที่สุดสำหรับเธอแล้ว เธอแทบจะไม่คิดด้วยว่า สิ่งที่เธอตัดสินใจ ทำให้เกิดธุรกิจเล็กๆ ของตัวเองได้อีก ลองอ่านเรื่องของแนนซี่ดูนะคะ มีอะไรอินสไปร์คุณแม่แน่นอน!

ชอบทำงานที่สุด และไม่เคยไม่เต็มร้อยกับงาน

แนนซี่เริ่มชีวิตสาวทำงานหลังจากเรียนจบตรีด้านมาร์เก็ตติ้งจากเอแบค และโทด้านบิสซิเนสส์ แมเนจเม้นท์ จากมหาวิทยาลัยเซอร์เร่ย์ อังกฤษ เธอเริ่มงานกับองค์กรอินเตอร์ที่ใครๆ ก็รู้กันว่า ที่นี่เข้ายาก และงานท้าทายมาก แนนซี่มาด้วยตำแหน่งผู้ช่วยจีเอ็มชาวฝรั่งเศส แต่เธอกลับค้นพบว่างานพีอาร์ คือสิ่งที่เธออยากทำที่สุด เธอลุยงานที่นี่เต็มแม็กตลอด 5 ปีเต็ม แล้วเธอก็ได้รับออฟเฟอร์ให้ไปเป็นมาร์เก็ตติ้ง แมเนเจอร์ให้กับแบรนด์เมคอัพน้องใหม่จากสวีเดน ที่นี่ทำให้แนนซี่ใช้ความเป็นเธอทั้งหมด ลุยสร้างแบรนด์จากศูนย์ จนใครๆ ก็รู้จัก และขายดีหมดสต็อค ถึงขั้นเจ้าของแบรนด์จะให้เธอไปทำมาร์เก็ตติ้งให้ที่สวีเดนเลย แนนซี่ตั้งใจไว้ว่าทำสัก 1 ปี ก็น่าจะเรียนรู้พอแล้ว พอพ้น 1 ปี เธอก็ลาออก

 

สามปีที่ได้เรียนรู้ที่สุดอีกครั้ง ก่อนเลิกเป็นสาวทำงาน

หลังจากนั้นแนนซี่ได้รับออฟเฟอร์จากแบรนด์ Clinique ให้มาเป็นพีอาร์ แมเนเจอร์ งานที่เธออยากทำตั้งแต่เริ่มงานแรกของชีวิต และงานนี้เธอได้ทำโปรเจ็คท์ระดับอินเตอร์กับคนเก่งๆ เยอะมากๆ

ประชุมกับเจน ลอว์เดอร์ ทีมโกลบอลของ Clinique

สื่อออนไลน์ที่แนนซี่และทีมดูแล

สามปีผ่านไปกับคลีนิกข์ แนนซี่ก็ท้อง “หลังคลอดพัก 3 เดือน ก็กลับมาทำงานที่ออฟฟิศ อินเนอร์แม่มาแน่นมาก เราก็คิดเลยว่า แล้วจะใช้ชีวิตยังไง? ก็คิดว่าไม่เป็นไรนี่นา เรากลับไปทำงานได้” แนนซี่ไม่ได้คิดจะเลิกทำงานเลย แต่ลูกเธอ น้องพั๊ม เธอบอกว่า “ลูกเรายากเลยล่ะ คือวางไม่ได้ตั้งแต่เกิด แล้วก็แพ้ตลอด มีผื่นเยอะ” แนนซี่เลยต้องดูแลลูกอย่างใกล้ชิดแต่เพียงผู้เดียว แล้วเธอเน้นให้ลูกกินนมแม่ให้มากที่สุดเท่าที่เธอจะทำได้ แต่ปรากฏว่า “คัดนมมาก หมดเงินไปกับหมดนวดเปิดท่อนมเยอะมากๆ ถึงขั้นนัดหมอให้ช่วยมานวดนมให้ที่บ้าน เอาเครื่องอัลตร้าซาวน์ดมาคลึงเลย มีเรียกหมอนวดคนนี้ไปที่ออฟฟิศด้วยนะ” ด้วยเนเจอร์เป็นสาวจัดเต็ม ต้องเอาให้สุด เรื่องให้นมลูกเธอเลยไม่ถอย!

 

จุดทริกเกอร์ที่สุด ที่ทำให้ออกจากงาน

แต่จุดที่ทำให้เธอเริ่มคิดถอยจากงาน ก็คือ… “เริ่มจากความนอยด์ของเราเอง คือที่บ้านทุกคนจะออกไปทำงานหมด เหลือลูกเรากับพี่เลี้ยง และแม่บ้าน ถ้าวันไหนที่พี่เลี้ยงโทร.มานี่ จะบ้าเลย นอยด์มาก แล้วก็มีเหตุกับพี่เลี้ยง และแม่บ้านตลอด ลูกก็จะร้องตลอดเวลา พี่เลี้ยงขนาดว่าดูแลเขาดีมากๆ ดูแลดีกว่าดูแลตัวเราเองอีกมั้ง เขาก็ยังลาออก” เธอเล่าต่ออีกว่า “พี่เลี้ยงลูกเรามีโทรศัพท์ 2 เครื่อง เงินเดือนสองหมื่น อยากหยุดเมื่อไหร่ก็ไม่ว่าอะไร” สรุปคือพี่เลี้ยงเอาตัวเองเป็นหลัก มากกว่าใครทั้งนั้น แนนซี่เลยเริ่มคิดเลยว่า เออเนอะ “เราไว้ใจใครไม่ได้จริงๆ”

 

ไม่มีความสุขเลย กังวลตลอด และสายตาลูกนั่นล่ะที่บอกเรา

อาการของแนนซี่มาออกกับร่างกายของเธอ “จากที่เราเป็นคนแข็งแรง ก็กลายมาเป็นไข้บ่อยมาก ไข้ขึ้นตอนตีสองด้วย แล้วเครียดตลอด” ทางใจเธอก็มีอะไรเปลี่ยนแปลงด้วย “ตอนท้องเรามีความสุขมาก แต่พอคลอดเสร็จ ทำไมเราเป็นแบบนี้ ทั้งกิลตี้เรื่องลูก กังวลตลอดว่าพี่เลี้ยงจะออกเมื่อไหร่ เราไม่มีความสุขเลยจริงๆ” ทำให้เวลาแนนซี่ทำงาน เธอต้องแบ่งสมองมาเครียดเรื่องลูก เรื่องพี่เลี้ยง ด้วยความเป็นคนเอ็กซ์ตรีม ทำอะไรต้องฟินจริงของเธอ แนนซี่เลยมาคิดเลยว่า เอาไงดี? เธอบอกว่า “ลูกก็ลูกเรา เราจะหวังให้ใครมาดูแลคงไม่ได้” แนนซี่เลยตัดสินใจว่าคงต้องเลือกอะไรจริงๆ แล้ว เธอเริ่มปฏิบัติการณ์จาก Leave without pay ก่อน ลางานไป 2 เดือนแบบไม่รับเงินเดือน หลังจากนั้นก็ลองลีฟไปทำงานที่บ้านอีก 1 เดือน จนสุดท้ายเธอมั่นใจแล้วว่า “ใช่แล้วล่ะ ต้องไปแล้ว” อีกสิ่งหนึ่งที่ทำให้เธอตัดสินใจเด็ดขาดว่าต้องเลิกเป็นสาวทำงานก็คือ “เราไม่มีเวลาอยู่กับลูกเลย แล้วเราเห็นลูกมองเราแบบสายตาลอย ตอนเราทำงานเยอะๆ แล้วมาเจอลูก ลูกไม่มีปฏิกิริยาอะไรใส่เราเลย คือเราออกจากบ้านเจ็ดโมง ถึงบ้านสองทุ่ม เลยมั่นใจมากว่าต้องออกแล้วจริงๆ”

เราต้องดูแลลูกให้ได้ เราต้องหาอาชีพให้ตัวเองด้วย

พอมาเป็นฟูล ไทม์ มัมแล้ว ไอเดียอย่างหนึ่งที่แนนซี่ชัดเจนกับตัวเองก็คือ “คิดตลอดว่าความแน่นอน คือความไม่แน่นอน เราต้องรักษาความเป็นเราไว้ด้วย ด้วยความเป็นแม่ เราคิดถึงลูกเป็นหลัก แต่ความเป็นตัวเรา เราก็ต้องหาอาชีพให้ตัวเอง อะไรที่เราชอบ ที่เป็นแพชชั่นเรา ก็ต้องเอากลับมาให้ตัวเราด้วย” แนนซี่ให้แง่คิดไว้ดีเลยตรงนี้ เธอบอกว่า “สิ่งที่เราต้องบาลานซ์ก็คือความฟินของเรา และความเป็นมนุษย์แม่ หนึ่งสมอง สองมือของมนุษย์แม่ดูแลลูกยังไง เราก็ต้องทำให้เราโอเคกับตัวเองด้วย เหมือนสร้างคุณค่าให้ตัวเอง ให้สมองเราลับคมไว้ตลอด วันหนึ่งพอลูกเราโตขึ้น เราก็จะได้สอนลูกเราได้ แม่ให้ร่างนี้ ใจนี้กับลูก แต่ก็ต้องแยกอีกส่วนหนึ่งด้วย”

 

ก่อนจะเริ่มคิดทำอะไร แนนซี่ขอคอนเฟิร์มอะไรบางอย่างก่อน…

พอรู้แล้วว่าอาชีพต้องมา สิ่งแรกที่แนนซี่คิดก็คือ “ให้หาโพสิทีฟ เอเนอร์จี้ อย่างเราไม่กล้าทำอะไรคนเดียว ก็เลยถ้าแม่ว่าหนูทำดีมั้ย แม่ตอบคำเดียวว่า “ทำเองเลยลูก” พอวางสายจากแม่ปุ๊บ เรานั่งคิดงานถึงตีสามเลย คือขอกำลังใจจากใครสักคนที่เราไว้ใจเขา ผู้หญิงเราไม่ต้องการอะไรมากหรอก ขอแค่กำลังใจนี่ล่ะ แล้วแค่มีใครบอกว่า “เราอยู่ข้างๆ เธอนะ ไม่ว่าเธอจะทำอะไรก็ตาม” น้ำตาก็ร่วงแล้ว หลังจากนั้นก็ไปตามหาแพชชั่นเราต่อเลย”

 

เริ่มตั้งใจคิดงาน เราจะทำอะไรดีล่ะ?

โปรดัคท์ชิ้นแรกของแนนซี่คือหมูหยองที่คุณอาเธอเป็นคนทำ เธอบอกว่า “ไม่เคยคิดเกี่ยวกับอาหาร เพราะเราทำกับข้าวไม่เป็น แต่อยู่ๆ ก็คิดขึ้นมาได้ว่า เอ! ของที่ทำต้องเป็นสิ่งที่เราอินจริงๆ แล้วไปบอกคนอื่นต่อได้ ก็เลยหันมาดูว่าในชีวิตจริงเรา เราอินอะไรบ้าง แล้วพอดีตอนให้นมลูกอยู่ ลูกแพ้อยู่นั่นล่ะ ผื่นขึ้นตลอด เราเลยชีวิตเปลี่ยนไป เรากินชีสไม่ได้ เข้าร้านที่มีขายเดรี่ โปรดัคท์ไม่ได้เลย ต้องกินแต่แกงเลียง ผัดขิง ตำลึง กินมันไป 6 เดือนทุกมื้อ จนใกล้บ้าละ แล้วบ้านเราจะมีของกินอันนึงที่มีติดตู้เย็นตลอดก็คือหมูหยอง คุณอาเป็นคนทำ เพราะสามีอาเป็นเบาหวาน อาม่าเป็นโรคไต ต้องกินของคลีนเท่านั้น อาก็เลยทำหมูแบบคลีนอันนี้กินเองเลย แล้วเราเห็นมาตลอด แต่ไม่ได้สนใจ วันนั้นเปิดตู้เย็นแล้วเจอหมูอันนี้ ก็เลยเอามากิน ปรากฏว่าช่วยชีวิตเราไปเลย มีแรงปั๊มนมให้ลูกต่อเลย” สิ่งใกล้ตัวแนนซี่ที่สุดที่เห็นมาตลอด หมูหยองที่มีแค่หมู เกลือ น้ำตาล อันนี้คือโปรดัคท์ที่เธอเลือกล่ะ!

พาลูกชายไปส่งของให้ลูกค้าที่ร้าน @ปันฟาร์มสุข , โครงการ cottage 66 สุขุมวิท 66

ภาพจากลูกค้าและลูกชายกับ pork and floss

รู้แล้วว่าคือสิ่งนี้ ก็ตั้งใจคิดงานต่อทันที

ด้วยนิสัยทำอะไรเอาจริงตลอดของแนนซี่ พอเธอรู้ชัดว่า เอ้า! หมูหยองอานี่ล่ะ คืนนั้นเธอเลยเริ่มคิดงานจนถึงตีสาม “ก่อนคิดต้องมีความเชื่อในตัวเองก่อน แล้วก็เริ่มคิดเลย คิดว่ากลุ่มคนที่จะกินหมูหยองเราคือใคร เรากินเพราะลูกแพ้ งั้นก็เจาะกลุ่มคนแพ้อาหารไปเลยแล้วกัน แล้วก็ทำรีเสิร์ชว่าใช่มั้ยสิ่งที่เราคิด มาเทสต์เรื่องรสชาติ ก็ให้เพื่อนๆ ลองเลย ดูว่าผลตอบรับเป็นยังไง แล้วเรามั่นใจว่าเขาไม่แพ้แน่ๆ พอรสชาติถูกต้อง ก็ต้องหาแพ็คเกจจิ้งที่ใช่ แล้วก็ดูราคาต่างๆ ดูว่าจะทำมาร์เก็ตติ้งยังไง ของเราเน้นปากต่อปากนี่ล่ะ แล้วก็มีไปขายตามร้านด้วย” พอได้โปรดัคท์ที่แนนซี่มั่นใจแล้วว่าอร่อยจริง เธอเปิดไอจีขาย และวอล์ค อินไปฝากขายที่ร้าน ร้านที่เธอบอกว่าเก๋ที่สุด อยากโปรโมทที่สุด เพื่อให้ตรงกลุ่มคนซื้อที่เธอตั้งไว้ เธอเลยเลือกไปเสนอร้าน ปันฟาร์มสุข อยู่ที่ Cottage 66 สุขุมวิท 66 แล้วก็ไม่ง่ายนะ มีอะไรท้าทายเธออยู่เหมือนกัน “ตอนแรกทางร้านบอกให้เราไปปรับปรุงโปรดัคท์มา แต่เราเชื่อของเรามาก ก็บอกเค้าว่า “หนูยืนยันว่าพี่จะขายได้ แล้วลูกค้าต้องชอบ พี่ลองวางก่อน ถ้าขายไม่ได้ โทร.เรียกหนูเลย หนูจะมารับกลับไป” ปรากฏว่าหนึ่งอาทิตย์หลังจากนั้น พี่เขาโทร.มาบอกว่า ให้เอามาเพิ่มได้เลย”

ข้าวปั้นไส้หมูเส้น คุณแม่ของน้องมินามิชาวไทยที่อยู่ญี่ปุ่น บอกว่าลูกขอให้ทำไปให้ทานที่รร. ทุกวัน

คุณภาพก็เป็นสิ่งที่แนนซี่ขอไม่ยอม

เราถามว่าแนนซี่ขายได้กำไรดีมั้ย เธอบอกว่า “กำไรไม่เยอะเลย เพราะใช้หมูแพง และต้องใช้หมูเยอะ แล้วหมูมันหดตัว หมูก็เลือกแบบสดๆ เท่านั้น ไม่เอาแบบแช่แข็ง และต้องเป็นสะโพกด้วย ถ้าหมูไม่สดจะใช้ไม่ได้ เพราะตอนฉีกจะไม่เป็นเส้น แล้วต้องเอาไปหมัก แล้วมาทอดด้วยน้ำมันรำข้าวที่เป็นทรานส์แฟท ฟรี เอาไปอบต่ออีกสามชั่วโมงด้วยไฟอ่อนๆ หรืออาจนานกว่านั้น” หมูหยองแนนซี่นี่ขายเยอะไปก็ไม่ได้ เพราะเธอเน้นว่าต้องทำสดๆ พอเล่าเสร็จเธอก็หยิบมาให้เราชิม โอยยย อร่อยมาก มีความเฮลธ์ตี้ทันทีที่กินคำแรก หมูกรอบนิดๆ หวานกำลังดี แบบกินเล่นๆ ได้ และคงเป็นที่ความตั้งใจทำจริงๆ นี่เอง หลังจากวางขายไปร้านแรก เธอก็วางขายไปอีก 20 ร้าน

ลูกชายช่วยขนของไปให้แม่ส่งให้ลูกค้า

เอ! คุณย่าก็มีสูตรน้ำพริกเด็ดนี่นา!

ไปต่อกันเลย พอแนนซี่เซ็ตระบบเรื่องหมูหยองเสร็จเรียบร้อย เธอก็มาเอะใจว่า เออ! พอเลิกให้นมลูก ทำไมอยากกินแต่น้ำพริกนะ แล้วเธอไม่เคยกินน้ำพริกตาแดงจากที่ไหน นอกจากน้ำพริกสูตรของคุณย่า เธอเล่าว่า “คุณย่า 85 แล้ว ตำน้ำพริกไม่ไหว ย่าก็จะเอาสูตรไปให้เพื่อนตำให้ แล้วเพื่อนย่าตายไปแล้ว ก็เลยมีอาๆ นี่ล่ะมาทำต่อ แล้วเราก็คิดว่า น้ำพริกนี่อยู่ได้นานนี่นา” บอกเลยว่าแนนซี่เอาน้ำพริกมาให้เรากิน คือแบบอร่อยอย่างหนักมาก! ทั้งหอม เนื้อชุ่มๆ ไม่แห้ง เผ็ดจริง แล้วรู้สึกถึงความสดเลย “คือก็งงว่าทำไมเรากินน้ำพริกตาแดงของที่อื่นไม่ได้ ก็เชิญย่ามาใส่ฟันปลอมช่วยเล่าให้ฟังหน่อย โอยยย มีความสุขมาก ย่าเล่าตาเป็นประกาย เล่าว่าตั้งแต่สมัยสงครามโลกครั้งที่สอง ตอนนั้นย่าเป็นคนอยุธยา ยายของย่าเป็นชาวนา ย่าต้องตื่นตีสี่มาทำกับเข้า ทำอาหารเช้า แล้วทำเองทุกสิ่ง เครื่องแกงก็ตำเอง ต้องทำสดๆ น้ำปลาก็ทำเอง หมักไว้ใต้ถุน กะปิทำเอง แล้วเชื่อมั้ยว่าน้ำพริกตาแดง คนโบราณเขาเรียกว่าน้ำพริกเผา เพราะสมัยก่อนต้องเอาพริกขี้หนูไทย กะปิ กระเทียม มาย่างให้หอมหมด แล้วมาตำโขลกรวมกัน ปรุงรสด้วยน้ำมะขามเปียก น้ำตาล แล้วทุกคนที่เป็นชาวนา ก็จะพกน้ำพริกตาแดง เอาไปกินที่กลางนา” นี่เลยเป็นที่มาของชื่อผลิตภัณฑ์ต่อจากหมูหยองของแนนซี่ว่า Chili Dip เครื่องจิ้มชาวนานี่เอง เธอคอนเฟิร์มกับเราว่า “เป็นผักสมุนไพรไทยร้อยเปอร์เซ็นต์ บวกกับกะปิเคยมันกุ้งพิเศษ น้ำปลา หัวหอมแดง ทุกอย่างมาจากแหล่งออริจินัลจริงๆ หมด และตำสดใหม่ทุกวัน!” สาวอยากลดความอ้วนอันนี้จะเหมาะมากด้วยเพราะ ถ้ากิน 1 ช้อนโต๊ะ ก็จะแค่ 33 แคลอรี่เท่านั้นเอง

เธอทำได้แล้ว เธอได้ดูแลลูก และได้รักษาแพชชั่นของตัวเองไว้

แล้วแนนซี่ก็ออกเดินสายพีอาร์โปรดัคท์ของเธอ ด้วยความรู้สึก และประสบการณ์ทั้งหมดในชีวิต สุดท้ายเราถามแนนซี่ว่า ยังคิดถึงงานออฟฟิศอีกมั้ย เธอตอบว่า “คิดถึงทุกวัน แต่พอหันไป ก็จะเจอลูกวิ่งมาหา แล้วถ้าธุรกิจเล็กๆ ของเราอันนี้ ช่วยให้แม่คนหนึ่งมีโอกาสดูแลลูกให้เติบโตได้ เราก็จะทำธุรกิจก่อนไป แล้วความคิดถึงนั้นก็ค่อยๆ เลือนไปเอง” เราขอให้แนนซี่ให้กำลังใจคุณแม่หลายๆ คนที่กำลังคิดว่า เราจะลาออกมาทำอะไรเล็กๆ ของเราได้มั้ยอยู่ เธอบอกว่า

 

“คนเรากลัวการเปลี่ยนแปลง กลัวว่าจะทำได้ไม่ดี แต่ไม่มีใครรู้หรอกว่า ทุกเรื่องราวที่เราเจอ มันทำให้เรามีวันนี้ ให้เรากล้ามาเผชิญโลกภายนอก แล้วเราจะรู้ว่ามนุษย์แม่อย่างเรา มีศักยภาพอีกเยอะ ไม่มีใครจะมีพลังเท่าแม่อีกแล้ว แล้วมันคือครั้งหนึ่งในชีวิตที่ต้องลอง”

แล้วถ้าทำๆ แล้วท้อขึ้นมาล่ะแนนซี่ เลี้ยงลูกก็เหนื่อยแล้ว มาเจอเรื่องธุรกิจอีก

แนนซี่บอกว่า “มันเหนื่อย และต้องมีท้อแน่นอน เพราะไม่ใช่ว่าทำครั้งเดียว แล้วทุกสิ่งจะปัง อาจต้องเจ๊งก่อน แต่ถ้ามุ่งมั่นเข้าไว้ แล้วลุกขึ้นมาใหม่ได้ ยังไงก็ต้องได้สิ เราทำสิ่งเล็กๆ ที่ใกล้ตัวก่อน ทำสิ่งที่ชอบแบบเบสิคเลย ถ้าไม่เวิร์ค ก็หยุด ลองหาสิ่งใหม่ อย่าดันทุรัง เชื่อเถอะว่าถ้ามีแรงขับแล้ว อะไรก็เป็นไปได้จริงๆ”

 

ไม่ง่ายที่จะเป็นฟูล ไทม์ มัม เพราะคุณต้องแลกกับอิสระของชีวิต และกับคอมฟอร์ท โซน

แต่โลกไม่ได้ต้องมีแค่สีขาวกับดำ ไม่ทำงานประจำ ก็มีงานใหม่ที่เราสร้างขึ้นเองด้วยหัวใจได้ ถึงจะเสี่ยง และก็อาจจะยากกว่า แต่สิ่งที่ได้รับเมื่อเวลาผ่านไป จะทำให้เราอาจบอกกับตัวเองได้ว่า “ดีใจที่วันนั้นตัดสินใจลาออกมา” ก็ได้นะ

มัมสกรีมขอขอบคุณแนนซี่จากใจ ใครอยากลองผลิตภัณฑ์ของเธอ เข้าไปเลยที่

 

หมูเส้นแม่ลูกอ่อน Pork & Floss

IG: porkandfloss_official

Line ID: @porkandfloss

 

เครื่องจิ้มชาวนา Chili Dip

IG: chilidip.bkk

FB: @chilidip

Line ID: @chilidip

3 March, 2017
Mom's Life