Mom's Life

10 เรื่องที่แม่ไทยในเมืองนอกต้องเจอ เธอช่างแกร่งกว่าที่เราคิด!



พอดีมัมสกรีมมีเพื่อนเป็นนักเขียนสาวอยู่วอชิงตัน ก็เลยคุยกันว่าอยากรู้จังว่าแม่ๆ ไทยเวลาเลี้ยงลูกอยู่เมืองนอก คนที่นี่อาจแอบอิจว่า ชีวิตน่าจะสิ่งแวดล้อมดี โรงเรียนเข้าง่าย ลูกๆ อีคิวดีกัน ก็เลยอยากรู้ว่ามันจริงไหม? มีอะไรที่แม่ๆ ไทยนี่นั่นต้องอดทนไหม ที่พวกเราไม่รู้ เผื่อวันหนึ่งเกิดอยากเก๋ๆ พาลูกย้ายไปเรียน จะได้รู้ไว้ก่อน ถามจากแม่ๆ ตัวจริงกันมาเลย รายงานสดๆ ได้ความมาว่า แม่ๆ ต้องเจอกับ…

 

1 อาการช็อคคูณสอง สาม สี่….

คือจากแม่มีงานทำสวยเจิด แล้วต้องย้ายตามสามีมาอยู่เมืองนอก ต้องสลัดคราบสาวทำงานตัวท้อปอย่างเราทิ้งให้สิ้น สวมชุดเดรสลายดอก ทับด้วยผ้ากันเปื้อน และทำทุกอย่างด้วยมือของเราเอง ทั้งทำกับข้าว ทำงานบ้าน จ่ายตลาด เอาเป็นว่าทำทุกสิ่งที่ไม่เคยทำเลยดีกว่า ที่เด็ดคือ ต้องอยู่แบบเดียวดายทีเดียว โลกทั้งโลกมีแต่สามี และลูก สังคมคนไทยก็มีบ้าง แต่ไม่เหมือนตอนอยู่บ้านเราแน่นอน ขับรถไม่เป็น ก็ต้องมาเรียนรู้ ภาษาไม่ได้นี่ตายๆๆๆๆ ต้องมาฝึกกัน ชีวิตจะวนเวียนอยู่แต่กับบ้าน จะนั่งช็อคกับตัวเองวันละหลายๆ รอบเลย

2 ต้องลุยเดี่ยวเลี้ยงลูกเอง

อาการน่าจะคล้ายแม่ๆ ญี่ปุ่นที่มาอยู่บ้านเรา คือจะไม่มีตายายน้าอาใดๆ มาช่วยพาลูกเราไปเที่ยวบ้าง และอย่าหวังว่าสามีจะมาช่วยนะ กลับมาเขาก็เหนื่อยมากแล้ว เราต้องดูแลเขาเพิ่มอีก คุณแม่คนหนึ่งเล่าว่า “ถ้าจะให้ตัวเองมีเวลาทำอะไรของตัวเองบ้าง ก็ต้องจัดเวลาชีวิตลูกให้ได้แบบระบบพ่อแม่ฝรั่ง ให้เขานอนเป็นเวลา เล่นเป็นเวลา แม่จะได้ว่างบ้าง” แต่ก็มีเหมือนกันแม่ที่ต้องทำงานด้วย อาจเป็นงานในร้านอาหารไทย ร้านสปาไทย แม่ก็จะยุ่งหนักมาก ไม่มีทางจะได้ทำอะไรของตัวเองแน่นอน

 

3 ค่าเลี้ยงเด็กมหาโหด

สิ่งที่แพงที่สุดในยูเอสคือค่าเดย์แคร์ หรือค่าเลี้ยงเด็ก เฉลี่ยทั้งประเทศจะตกปีละหมื่นเหรียญ ก็ประมาณเกือบสี่แสนบาท เดือนหนึ่งก็เกือบสี่หมื่นบาทที่ต้องจ่าย ไหวมั้ย? ยิ่งถ้าเมืองใหญ่ก็จะยิ่งแพงหนัก อย่างถ้าเป็นที่วอชิงตันดีซีจะประมาณ 23,000 เหรียญต่อปี หรือประมาณ 736,000 บาท!!! แล้วถ้าจะเอาแบบเกรดเอ โอยแพงมากกกกก เพื่อนคุณแม่คนหนึ่งบอกว่า พอเธอมีลูกปั๊บ ก็ลองตระเวณหาที่รับเลี้ยงเด็กอ่อนตอนกลางวันเลย เพราะเธอต้องกลับไปทำงาน ต้องจองเนอร์สเซอรี่หกเดือนก่อนคลอด คนที่มีรายได้โอเค ก็จะเลือกเอารายได้ แล้วจ้างเขาเลี้ยง แต่ถ้าจ่ายไม่ไหว ก็ต้องเลิกทำงานมาเลี้ยงลูก คนที่จะรับไปเลี้ยงตามบ้านได้ ก็ต้องมีใบอนุญาต แล้วเขาจะรับไม่กี่คนด้วย แต่ตอนเซ็นต์สัญญา คุณแม่คนนี้อ่านไม่ละเอียด สิ่งที่เจอคือ “เขาลาพักร้อนไปสองอาทิตย์ เราก็ต้องจ่ายเขาเต็มเวลา แล้วเราก็ต้องไปจ้างพี่เลี้ยงคนอื่นเลี้ยงลูกเราด้วย”

4 กฏหมายเด็ดคือ เด็กต้องนั่งคาร์ ซีท

อันนี้เป็นเรื่องดีนะ แต่ด้วยนิสัยแม่คนไทยก็อาจมีเผลอบ้าง อย่างของยูเอส กฏหมายของแต่ละรัฐก็ต่างกันว่าต้องนั่งถึงกี่ขวบ ของที่เพื่อนอยู่ ต้องนั่งจนถึง 5 ขวบ มีอยู่วันหนึ่งสามีเพื่อนจับรถอยู่ ผ่านตำรวจ ลูกสี่ขวบไม่ได้นั่งคาร์ซีท แล้วพอตำรวจให้หยุดถามว่าลูกกี่ขวบ แม่ก็บอกว่า 5 ขวบแล้ว แต่ลูกกลับตะโกนบอกว่า “4 ขวบ!” งานเข้าเลย ตำรวจเขียนรายงานให้เดี๋ยวนั้นเลย

5 ห้ามปล่อยลูกอยู่บ้าน หรืออยู่ในรถคนเดียว

มีรายงานออกมาเลยว่าในอังกฤษมีพ่อแม่ที่ถูกตำรวจจับปีละเป็นร้อยราย เพราะปล่อยให้ลูกอยู่บ้านคนเดียว เขามีกฏเลยว่าถ้าปล่อยให้ลูกอยู่บ้านคนเดียว แล้วเด็กมีแนวโน้มว่าจะเกิดอันตราย พ่อแม่นี่มีสิทธิ์เข้าคุกกกเลย ในยูเอสแล้วแต่รัฐเหมือนกัน แต่อายุน้อยสุดที่อยู่บ้านคนเดียวได้คือ 8 ขวบ อีกเรื่องที่ใหญ่มากคือ เรื่องทิ้งลูกให้อยู่บ้านคนเดียว ในอเมริกามีถึง 19 รัฐทีออกกฏว่าห้ามทิ้งลูกอยู่ในรถคนเดียว โดยเฉพาะหน้าร้อน มีเด็กตายในรถทุกปี ส่วนใหญ่ก็จะเอาลูกส่งเดย์แคร์ แต่ลืม แล้วเดินขึ้นตึกไปเฉยเลย ในอังกฤษนี่ถ้าตำรวจเจอทิ้งเด็กไว้แค่ 5 นาทีวิ่งไปซื้อยาร้านขายยา ก็โดนได้เหมือนกัน

 

6 หาหมอที งานเข้ามากๆ

อย่าได้ป่วยเลยเวลาอยู่เมืองนอก ลำบากมาก เพราะถ้าเป็นอะไรที ต้องไปหาหมอประจำก่อน ตรวจๆๆๆ ถ้าไม่เป็นอะไรมาก ก็ให้ใบสั่งยาไปซื้อยา แต่ถ้ามีอะไร ก็จะส่งไปหาหมอเฉพาะทางอีกที มีลูกเพื่อนคนหนึ่งปวดท้องกลางดึก ปรากฏหมอประจำไม่อยู่ ต้องไปห้องฉุกเฉิน ก็รอไปสิ กลับบ้านอีกทีคือห้าชั่วโมงต่อมา ต้องรอนานมากๆ

 

7 ถ้าแม่ไม่เป๊ะ จะโดนครูเรียกไปดุ

มีแม่ไทยคนหนึ่งเล่าว่า “ตอนลูกเราเล็กๆ พวกเรายังอยู่ที่ญี่ปุ่น ส่งลูกเข้าพรีสคูล เป็นโรงเรียนในเครือกระทรวงกลาโหมของยูเอส เขามีโปรแกรมครี่งวัน แต่เขาก็มีเวลาให้เด็กได้งีบ ปรากฏว่าลูกเรางีบยาวไป ปลุกแล้วไม่ตื่น ครูเลยเรียกไปคุยว่า ยูให้ลูกนอนกี่โมง ทำไมดูเหมือนลูกยูนอนไม่พอ เราก็อายมากอะ” คือแม่คนนี้ปกติก็ไม่ได้เป๊ะเรื่องเวลานอนกับลูก แต่ก็ไม่เคยเกินสามทุ่ม ซึ่งจริงๆ แล้วครูบอกว่ามันดึกไป ต้องนอนทุ่มหนึ่ง และแม่เองจะได้มีเวลาทำอะไรของตัวเองด้วย ยังไม่พอ ครูคนนี้มีไปตรวจบ้านของนักเรียนทุกคนด้วยว่าเป็นยังไง เฮี้ยบมาก แต่ความเฮี้ยบของแกนี่ล่ะ ทำให้เรายังจำแกได้จนถึงวันนี้ และนึกขอบคุณที่โลกมีคนอย่างแกเลยล่ะ

 

8 ตีลูกมีสิทธิ์เข้าคุกเลย

ที่เมืองไทย ตีลูกอาจเป็นเรื่องปกตินะ จำได้เลยตอนเรียนประถม เพื่อนในห้องบางคนถูกครูตีจนน่าสงสารมาก แต่ที่ยูเอสนี่ถ้าครูทำอะไรเด็ก อาจถูกเข้าคุกได้เลย ข้อหาทำร้ายร่างกาย และถ้าเป็นพ่อแม่ บางประเทศก็มีกฏหมายห้ามตีลูกเหมือนกัน อย่างในเยอรมัน สวีเดน ฟินแลนด์ สเปน กรีซ ไอซ์แลนด์ พ่อแม่ห้ามตีเด็ดขาด และในยูเอสรัฐส่วนใหญ่ก็มีกฏหมายห้ามตีลูก คือถ้าลูกมาโรงเรียนแล้วมีรอยฟกช้ำอะไรหน่อย พ่อแม่ก็เตรียมขึ้นศาสได้เลย แล้วก็จะเอาลูกไปให้ครอบครัวอุปถัมภ์เลี้ยงด้วยแน่ะ ถือว่าเป็นการปกป้องเด็กจากพ่อแม่ที่ไม่ค่อยมีความรับผิดชอบ พวกที่ชอบเมาแล้วทำร้ายลูกอะไรแบบนี้

 

9 จะให้ลูกพูดสองภาษายากมาก

เพราะแม่เองต้องทำอะไรมากมาย พอลูกกลับจากโรงเรียน ก็ต้องนอนแล้ว และเวลาอยู่ต่อหน้าเพื่อนๆ ลูกก็ต้องพูดอังกฤษอีก ถ้าไปพูดไทยกับลูก ก็ดูลูกแปลก เป็นอีกความเครียดของแม่ที่เพิ่มขึ้นมาเลย ส่วนใหญ่ต้องให้ไปเรียนภาษาไทยในวัดไทย ซึ่งก็ยากมากที่ลูกจะพูด อ่าน เขียนได้คล่อง เอาเป็นว่าทำใจไว้เลย อยู่เมืองนอก ลูกอาจไม่ได้ภาษาไทยเลย

 

 10 กฏของโรงเรียนที่อาจไม่คุ้น

อย่างเรื่องไปส่งลูกที่โรงเรียน อย่าได้ไปก่อนเวลานานเชียว เขาไม่เปิดประตูนะ ไม่มีครูมายืนรอด้วย เขาให้มาส่งเวลาไหน นก็ควรไปเวลานั้น ต่อให้พ่อแม่ต้องไปทำงาน ก็ต้องหาทางไปส่งลูกกันให้ได้ ถ้าเวลาไม่ทัน ก็ต้องจ่ายเงินให้เดย์แคร์ ให้เขาพาลูกไป ตอนลงทะเบียนเรียน ก็ต้องเป๊ะๆ ว่าจะให้ลูกกลับยังไง คนมารับคือใคร เขาห่วงเรื่องความปลอดภัยของเด็กที่สุด คือเราต้องช่วยเหลือตัวเราเองให้มากที่สุด ไม่ได้จะมายืดหยุ่นแบบบ้านเรา ที่ไปรับเลทหน่อย ครูก็รอให้น่ะ

 

https://www.facebook.com/Momscream

http://www.momscream.com

12 June, 2017
Mom's Life