Mom's Life

ถ้าสองขวบแล้วลูกยังไม่พูด แนะนำให้คุณแม่พาไปหาหมอ เขาอาจเป็นอะไรที่เราไม่รู้!



พี่ต๋อมสนิทกับมัมสกรีมมานาน เป็นเพื่อนรุ่นพี่ที่ทั้งรัก และเคารพเลย ก็เลยเจอน้องอะตอมลูกพี่ต๋อมอยู่เรื่อยๆ น้องอะตอมเป็นเด็กผู้ชายตัวน้อยที่อมยิ้มตลอด แววตาใส ชอบดูแลป้าๆ และที่น้องอะตอมไม่เหมือนเด็กคนอื่นคือ น้องอะตอมชอบรถมาก ชอบแบบจำทะเบียนรถ จำข้างในรถ จำได้หมดว่าใครขับรถอะไรตั้งแต่เด็กๆ ตอนนั้นไม่รู้เลยว่าน้องอะตอมเป็นอะไร เพราะน้องปกติสุดๆ จนพี่ต๋อมเล่าให้ฟังว่า “อะตอมเป็นออทิสซึ่ม” เราเลยขอเรื่องน้องอะตอมจากพี่ต๋อม มาเขียนเล่าลงมัมสกรีม จุดหมายเดียวเลยคือ มีประโยชน์กับแม่ๆ คนอื่น ทำให้เราสังเกตลูกตัวเองมากขึ้น และความชิลล์ ใจเย็นของพี่ต๋อมนี่ล่ะ ที่เรานับถือ พี่ต๋อมเป็นแม่ที่เหมือนเพื่อนของน้องอะตอมมาก เราเริ่มถามพี่ต๋อมตั้งแต่ตอนตั้งท้องกันเลย พี่ต๋อมเล่าว่า….

 

ตอนท้องก็ตรวจเจอบางอย่างในแล้ว

พี่ต๋อมก็เป็นผู้หญิงทำงานปกติที่มีสามีน่ารัก พี่ต๋อมคบกับพี่เดียว สามีมา 8 ปี แต่งงานกันอีก 8 ปี ถึงจะตกลงกันว่า เรามีลูกกันเถอะ ตอนทำงานก็ทำงานกันหนักมาก พอใกล้จะมีลูกถึงรู้ตัวว่า ควรถอยจากงานบ้าง พอไปตรวจหมอบอกว่าสเปิร์มไม่แข็งแรงเท่าไหร่นะ โอกาสมีลูกได้แค่ 1 เปอร์เซ็นต์เท่านั้น เลยต้องทำไอยูไอ คือนำส่งสเปิร์มไปถึงหน้าประตูมดลูก แล้วคราวนี้ก็ติดลูกเลย ตอนท้องพี่ต๋อมไม่มีปัญหาอะไรเลย แต่เอาเข้าจริงพี่ต๋อมบอก “ลุ้นทุกขั้นตอน ทุกสิ่งที่เคยกังวล มาหมดเลย” เพราะพี่ต๋อมเริ่มมีอาการปวดท้อง อาหารไม่ค่อยย่อยด้วย ก็ฉีดยากันแท้งไป แล้วพอครบ 4-5 เดือน ต้องตรวจน้ำคร่ำ พี่ต๋อมก็ไปเจาะ ตอนแรกนางพยาบาลโทร.มาบอกผลที่พี่ต๋อมแทบจะเป็นลม “ลูกมีโอกาสเป็นดาวน์ค่ะ” แต่พอไปหาหมอ หมอบอกไม่ใช่ ไม่ขนาดนั้น หมอขอตรวจให้ลึกไปกว่านั้น ปรากฏไปเจอว่า น้องอะตอมลูกชายตัวน้อย มีซีสต์ที่ไต พี่ต๋อมก็เอาละ ได้ลุ้นแล้ว

คลอดได้ 17 วัน น้องอะตอมก็เป็นไส้เลื่อน

คุณหมอตรวจเจอตั้งแต่คลอดแล้วว่า ลูกอัณฑะข้างหนึ่งของน้องอะตอมไม่เลื่อนลงมา หมอให้รอดูก่อน แล้วหลังจากครบปีครึ่ง หมอก็ผ่าให้เรียบร้อย ก็เรียบร้อยไป แถมตอนไปเช็คร่างกาย ก็เจอว่า “ไตของอะตอมหายไปข้างหนึ่ง หมอบอกไม่เป็นไร ไตมันคงฝ่อไปข้างหนึ่ง ก็ให้อยู่กับไตข้างเดียวไป มันเหมือนมีแขนข้างเดียวไง อะตอมต้องไปเจาะเลือดทุก 6 เดือน เจาะจนถึง 7 ขวบ หมอถึงบอกว่า ให้มาเจาะปีละครั้งก็พอ” ในหัวใจของคนเป็นแม่ พี่ต๋อมบอก รู้สึกทุกครั้งที่ลูกต้องไปเจาะเลือด เห็นใจลูกมาก แล้วพอมีไตข้างเดียว สิ่งที่คนเป็นแม่ต้องระวังให้ลูกที่สุดคือ อย่ากินอะไรเค็ม ต้องไม่ให้อ้วนด้วย ไม่อย่างนั้นแรงดันภายในร่างกายจะเยอะ ขนมถุงๆ นี่กินไม่ได้เลย พี่ต๋อมบอกลูกว่า “ถ้าลูกเห็นเพื่อนชวนกินขนมนะ บอกเพื่อนนะลูกว่า อะตอมมีไตข้างเดียว กินไม่ได้นะลูก” หมอให้กินอาหารเป็นมื้อๆ อย่ากินบ่อย และอย่ากินโปรตีนเยอะ เราก็ระวังกันไป

เกือบจะ 3 ขวบแล้ว ลูกยังไม่ยอมพูด

พี่ต๋อมบอกว่า “จริงๆ สังเกตเห็นอาการอะตอมมาตั้งแต่ก่อนสองขวบแล้วล่ะ คือเขาจะร้องไห้ไม่เยอะ แล้วเราจะไม่เคยเห็นเขาแลบลิ้นเลย เล่นน้ำลายไม่เคยมีเลย ไม่เคยน้ำลายยืด แต่เขาจะสบตาคนตลอด ตั้งแต่เด็กเขาจะมีแพทเทิร์นของเขา จะชอบคลานๆ มาแล้วเห็นอะไรเปิดอยู่ ก็จะปิด เรายังคิดเลยว่าลูกเราเหมือนเราแฮะ เพราะเราชอบเก็บของ ชอบความเรียบร้อยมาก” พี่ต๋อมเพิ่งรู้ว่าเสียงที่เขาเปล่งออกมาจากปาก ไม่เรียกว่าคือการพูด เขาจะเรียก “แหมะๆๆ” แต่เขาจะอ้าปากน้อยมาก หรืออย่างหมาชื่อชีโร่ เขาก็จะเรียก “โอๆๆ” อีกอย่างหนึ่งที่พี่ต๋อมสังเกตก็คือ “อะตอมจะสื่อสารอะไร เขาจะใช้ภาษากายหมดเลย มีนอนกลิ้ง ทำท่าโน่นนี่”

รู้สึกว่า ต้องพาลูกไปหาหมอแล้ว

เหมือนน้องอะตอมจะพยายามสื่อสารกับทุกคน และพี่ต๋อมรู้สึกชัดมากในเซนส์ของความเป็นแม่ ก็เลยคิดว่าต้องหาทางซ่อมลูกแล้ว พี่ต๋อมพาไปหาผู้เชี่ยวชาญที่เรียกว่า “Speech Therapist” นักฝึกพูดโดยเฉพาะ ปรากฏว่าน้องอะตอมเป็น Apraxia of Speech คือประสาทที่สั่งการกล้ามเนื้อมัดเล็กหยุดการเจริญเติบโต สิ่งที่ต้องทำต่อก็คือ “เราต้องช่วยลูกพัฒนากล้ามเนื้อมัดเล็กแล้วนะ” พี่ต๋อมเลยนัดอาจารย์ที่เป็นเธราปิสท์คุยกันให้เคลียร์ ตอนที่อาจารย์เข้ามาถามอาการลูก พี่ต๋อมบอกว่า “น้ำตาพี่ไหลเลย คือเรารู้ก่อนหน้านั้นแล้วว่าเขามีอาการ ทุกสิ่งที่อาจารย์ถาม มันตรงกับที่เราสังเกต แต่เราไม่รู้จริงๆ ตอนนั้นว่าลูกจะเป็นอะไร” พี่ต๋อมแนะนำเพิ่มว่า ให้ใช้ความเป็นแม่รู้สึกกับลูก แล้วถ้าเจออะไรอย่าปล่อยไว้เลย ยิ่งถ้าลูกไม่พูดแล้วปล่อยไปจนโตๆ กว่านี้ จะฝึกพูดยากมากๆ

ฝึกพูดไม่นาน น้องอะตอมก็สื่อสารปกติได้

หลังจากนั้นพี่ต๋อม และพี่เดียวก็ลุยฝึกลูกเต็มสปีด วิธีฝึกคือตอนแรกครูจะจับปากน้องอะตอมขึ้นๆ ลงๆ ไปตามคำที่จะพูด แล้วสองพ่อแม่ให้ช่วยเขาจับปากแบบนี้นะ ต้องไปฝึกกับครูทุกอาทิตย์ แล้วกลับมาฝึกต่อที่บ้าน ต้องจั๊กจี้ให้เขาหัวเราะ เพื่อให้หัดเปล่งเสียง ต้องนวดปาก และริมฝีปากทุกวัน แล้วก็นวดกลางลำตัว เพื่อฝึกกล้ามเนื้อกลางลำตัว เพื่อให้ระบบประสาททำงานได้ดีขึ้น และไปกระตุ้นพัฒนาการ จนน้องจำวิธีขยับปากได้หมดแล้ว และพร้อมเอาไปใช้กับคำอื่นๆ ฝึกไปได้ครบปีครูก็บอกว่า น้องอะตอมเก่งแล้ว ไม่ต้องมาแล้วนะ ค่อยรอดูตอนโตว่ามีอะไรต้องแก้อีกมั้ย

นึกว่าจะไม่มีอะไรแล้ว แต่ก็มี…

ผ่านมาเรื่องหนึ่ง พี่ต๋อมก็มาเจออีกเรื่องหนึ่ง พอน้องอะตอมเข้าโรงเรียนไป ก็เรียนตามปกติ ไม่มีอะไรต้องห่วงมาก แต่พี่ต๋อมบอกว่า มาเจออาการใหม่ของน้องอะตอม “คือเขาจะจำถนนหนทางเก่งมากๆ จริงๆ จำได้ตั้งแต่สองสามขวบแล้ว คือถ้าเรากลับบ้านไปอีกทางที่เขาเคยมา เขาจะร้องไห้เลย แล้วเขาจะเป็นคนเป๊ะมาก ชอบเรียงของเล่น ถ้าอะตอมไปบ้านไหน เขาจะจัดรองเท้า จัดจักรยานให้วางเรียงสวยงาม มีอะไรเปิดแล่บ เขาก็จะจัด ตอนแรกไม่คิดอะไรจริงๆ แต่พอ 6-7 ขวบ มาเจอว่าเขาจะสนใจอะไรแบบสุดไปเลย คือเขาสามารถนั่งดูรถยนตร์ได้เป็นชั่วโมงๆ ขึ้นลิฟท์เป็นสิบรอบ นั่งดูไม้กั้นรถไปเรื่อยๆ แล้วเขาจะไม่สนใจเรื่องอื่นเลย” พี่ต๋อมเลยไปค้นเจอว่า อาการน้องอะตอมแบบนี้เรียกว่า Atypical Autism คือมีอาการของออทิสซึ่มของแต่ละประเภทอย่างละนิดอย่างละหน่อย

สิ่งที่แม่ทำให้ลูก…

พี่ต๋อมเริ่มชิลล์แล้ว และมองว่า “เออ ถ้าเป็นอะไรใหม่ๆ แบบนี้ อย่างนั้นเราเจออะไร เราก็ช่วยลูกแก้ไปตามสิ่งที่เป็นแล้วกัน” พี่ต๋อมไม่อยากให้น้องอะตอมสนใจอะไรสิ่งเดิมๆ มากเกินไป พี่ต๋อมบอกว่า “โตขึ้นเขาจะอยู่ในโลกยาก” วิธีก็คือพี่ต๋อมจะคอยดึงอะตอมให้ไปสนใจอย่างอื่นแทน เทคนิคลึกๆ คือต้อง “มีสติให้มาก ต้องใส่ใจอาการต่างๆ ของลูก ต้องแยกแยะได้ด้วย ว่าลูกเราโอเค แล้วก็ต้องเชื่อสัญชาติญาณตัวเองประมาณหนึ่งเลย เพราะถ้าเชื่อมากไป จะดูว่าเราไม่ฟังใคร แต่ถ้าไม่เชื่อเลย เราก็จะปล่อยลูกเราเกินไป” พี่ต๋อมเลยค่อยๆ แก้อะตอมแบบเป็นธรรมชาติมากๆ “จะดูว่าเขาชอบอะไรมากๆ เราจะค่อยๆ ตัดออกจากชีวิตเขา แล้วเอาสิ่งอื่นมาให้แทน จะชวนเขาไปทำกิจกรรรมกับเรามากขึ้น พาไปเล่นเทนนิส ซึ่งดีมาก ทำให้เขาประสานร่างกายได้ดี แล้วเขาไปเรียน ตีโดนลูกเร็วเลย” พี่ต๋อมบอกว่าเทนนิสทำให้อะตอมแข็งแรงขึ้นมาก

กับลูกจะล้อเล่นไม่ได้เลย

และอีกสิ่งที่พี่ต๋อมบอกเลยว่าสำคัญสุดๆ คือ “ต้องอย่าไปพูดล้อเล่นกับเขานะ เขาไม่ชอบ เขาจะจำ โชคดีที่เราเป็นคนพูดอะไรกับลูกไว้แล้วจะทำ เลยทำให้เขาเลือกที่จะฟังเรา เขาไว้ใจเรา พอจะช่วยอะไรเขาแล้วบอกเขา เขาเลยเชื่อเรา” เพราะเด็กอย่างน้องอะตอมจะเซนซิทีฟมาก คุยอะไรต้องมีเหตุผล และต้องคอยยกตัวอย่างเยอะๆ ให้เขาเห็น

น้องอะตอมอยู่ป.2 แล้ว เรียนดีขึ้นมากๆ

ความพยายามของคุณพ่อ คุณแม่เห็นผลแล้ว น้องอะตอมผ่านทุกสิ่งมาได้สวยๆ เลย วันนี้น้องอะตอมอยู่ป.2 สอบได้เกรด 4 หมด มีได้ 3 ตัวเดียว และเป็นเด็กร่าเริงปกติ ที่คุณแม่ใช้คำว่า “อะตอมเหมือนเพื่อนพี่ไปแล้ว” สิ่งที่พี่ต๋อมจะทำต่อไปให้ลุกก็คือ “ต้องคอยต่อยอดให้เขา คอยหาอะไรที่เขาไม่เคยสนใจ มาให้เขารู้ว่าโลกมีอะไรอีกมากนะลูก” เพราะที่สุดเหนืออื่นใด สิ่งที่พี่ต๋อมต้องการที่สุดก็คือ

“อยากให้เขาอยู่ในสังคมแล้วมีความสุข ไม่ต้องเก่ง ไม่ต้องอะไรเลย ขอให้ลูกมีความสุขก็พอแล้ว”

และพี่ต๋อมบอกว่า

“คงต้องซ่อมอะตอมไปเรื่อยๆ เพราะเราไม่มีวันรู้เลยว่าเขาจะเป็นอะไรอีกมั้ย เราให้เขาเกิดมาแล้ว ก็ต้องดูแลเขาให้ดีที่สุดที่เราจะทำได้”

พี่ต๋อมฝากบอกแม่ๆ ว่า

“เราต้องคอยใส่ใจสังเกตลูก แต่ไม่ต้องนอยด์มากไป เราอาจมีดีเพรสบ้าง แต่ก็ไม่เป็นไร หาข้อมูลไป ปรึกษาผู้รู้ คุยกับหมอไป หาข้อมูลที่เป็นองค์รวมไว้ หาในเว็บเมืองนอกเยอะๆ เลย อย่าแค่เว็บไทย คุยกับคนที่เราสบายใจ อย่าเพิ่งเชื่อคนที่บอกว่า “เด็กก็เป็นแบบนี้แหละ” กลั่นกรองข้อมูลไว้ อย่าเชื่อในสิ่งที่แค่แว่บเดียว ต้องไปหาต้นตอด้วย”

 

ขอขอบคุณพี่ต๋อม สุจินดา จารุภัตติ์ คุณแม่น้องอะตอม

แอบบอกว่าพี่ต๋อมมีร้านสักคิ้วเริ่ดมากๆ ด้วย ลองเข้าเฟซบุ๊คร้านพี่ต๋อมได้ Cute Concept www.facebook.com/CuteConceptBangkok คุณแม่คนไหนไม่ไหวอะไร ไปร้านพี่ต๋อมแล้ว พี่ต๋อมยินดีคุยด้วย มีอะไรก็มาแชร์กันได้เลยนะคะ

 

www.facebook.com/MomScream

12 July, 2017
Mom's Life