Health & Fitness

เธอคือซิงเกิล มัมเต็มตัวตั้งแต่ตั้งท้อง 5 เดือน ทำขนมเลี้ยงลูกเอง จนลูกเข้าโรงเรียน!



มินท์ คือคุณแม่เลี้ยงเดี่ยว เธอแต่งงานมีลูก และมีเหตุให้ต้องออกจากบ้านสามีมาลุยเลี้ยงลูกคนเดียว ตอนนั้นเธอตั้งท้องได้ 5 เดือน มินท์มาเริ่มชีวิตสองแม่ลูกตอนเธออายุย่างเข้าสามสิบ เธอต้องดูแลลูกทุกอย่างคนเดียว มินท์เลยต้องหาสิ่งที่ทำให้เธอเลี้ยงลูกได้ ภายในเวลาไม่ถึงปี มินท์ก็สร้างหลักเล็กๆ ให้เธอและลูกสำเร็จ มินท์บอกเราว่า “เหนื่อย แต่มีความสุขขึ้นเรื่อยๆ ค่ะ”

ความจริงอาชีพหลักไม่ใช่ทำขนมเลย

เพราะอยากเลี้ยงลูกให้ดี เลยทำให้เธอต้องสลัดอาชีพหลักที่เธอรัก ก่อนหน้านี้มินท์มีอาชีพเป็นพร็อพ มาสเตอร์ ดูแลเรื่องพร็อพให้กองถ่ายจากฮอลลีวู้ดเลยทีเดียว เธอเรียนจบสถาปัตย์ ศิลปากร เป็นผู้หญิงที่เวิร์ค ฮาร์ด เพลย์ ฮาร์ดคนหนึ่งเลยล่ะ ใช้ชีวิตแบบเอนจอย ไลฟ์เต็มที่ จนมามีลูก และมีเรื่องกับสามี ทำให้เธอต้องออกจากบ้านสามี และมาเลี้ยงลูกคนเดียว ตอนนั้นมินท์ตัดสินใจเลยว่าคงทำงานที่รักต่อไปไม่ได้ เธอไม่มีเวลาดูแลลูกแน่ๆ มินท์เลยงัดเอาวิชาทำขนมที่เคยเรียนที่เลอ กอร์ดอง เบลอ แล้วมาปรับให้เข้ากับคนไทย เธอเลยคิดสูตรขนมผิงสุขใจ ขนมผิงที่ไม่มีกลูเตน “มินท์อินสไปร์มาจากลูกนี่ล่ะค่ะ น้องมายแพ้นม เลยต้องหาขนมที่ลูกกินได้ ก็เลยคิดทำขนมผิงขึ้นมา” เธอเล่าให้เราฟัง แต่ขนมผิงของเธอไม่ธรรมดานะ มีรสชาไทย ชาเขียว กาแฟ และรสกะทิ อร่อยแบบหยุดไม่ได้เลยด้วย

ขนมผิงอย่างเดียวไม่พอ มินท์เลยทำเค้กเพิ่ม

มินท์ขายขนมผิงทางออนไลน์อย่างเดียว ยังไม่มีเวลาติดต่อเข้าไปขายที่ร้านไหน เธอเลยต้องทำเค้กออกมาขายด้วย มินท์บอกกำไรจากขายเค้กนี่ เป็นค่าเทอมลูกได้เลย เค้กของมินท์ก็มาจากพื้นฐานที่เธอเรียนมา และเอามาปรับเพิ่ม ที่เป็นซิกเนเจอร์คนสั่งเยอะๆ ก็คือ เค้กเบียร์ดำของเธอนี่ล่ะ สไตล์ทำขนมส่งตามร้านของเธอก็คือ “ทำแต่ละร้านไม่เหมือนกันค่ะ เขาจะได้มีเค้กขายที่ไม่เหมือนกัน แล้วจะทำไม่ค่อยหวานมาก ถ้าเปรี้ยวก็เปรี้ยวไปเลย กว่าจะได้แต่ลูสูตร ทำทิ้งๆๆๆ เยอะเลยค่ะ”

เอาเวลาที่ไหนมาทำขนม เพราะต้องเลี้ยงลูกด้วย

มินท์เป็นคุณแม่อีกคนที่ไม่มีพี่เลี้ยง และถึงจะอยู่บ้านแม่ แต่เธอเลี้ยงลูกเองคนเดียวทุกอย่าง “แม่มินท์ทำงานค่ะ แล้วแม่จะบอกว่าให้เราเลี้ยงลูกเองนะ ลูกจะได้ผูกพันกับแม่” มินท์เลยสู้ตาย เธอบอกว่า “ฝากลูกกับใครไม่ได้เลย ไม่เคยไปค้างคืนที่ไหนที่ไม่มีลูก แล้วลูกก็เอาแต่มินท์ ตั้งแต่เลี้ยงลูกมา มีฝากให้แม่ช่วยไปรับเขา 2 ครั้งแค่นั้น”

และตอนนี้น้องมายเข้าโรงเรียนแล้ว ชีวิตมินท์เลยเริ่มแต่เช้า ตื่น อาบน้ำ เตรียมอาหารเช้า ไปส่งลูก แล้วมีเวลาทำขนมตั้งแต่ 9 โมง ถึงบ่ายสองครึ่ง มิ้นบอกว่า “ต้องทำทุกอย่างให้เกือบจะเสร็จ ก็มีซื้อของ ทำเค้ก แต่งหน้าเค้ก แพ็คขนมผิง ทำสลับกับเค้ก” แป๊บเดียวเธอก็ต้องทิ้งทุกอย่างไปรับลูก และอยู่กับลูกตลอด ตอนค่ำลูกหลับสองทุ่ม มิ้นบอกว่า “ก็มานั่งเคลียร์งานบัญชีต่อ ทำอาร์ทเวิร์ค คิดสูตรขนม ออกกำลังด้วย แล้วค่อยนอน” ชีวิตมินท์เป็นแบบนี้ทุกวัน และเธอยังรับทำเค้กด้วยถ้ามีใครอยากสั่งพิเศษ

คิดยังไง ถึงมาเลือกที่ทำเค้ก ทำขนม

เราสงสัยมากว่าเด็กสถาปัตย์อย่างมินท์ จริงๆ จะทำงานอื่นอีกก็ยังได้ แต่ทำไมมินท์มาเลือกที่ทำขนม มินท์เล่าว่า “จะเลือกทำสิ่งที่เป็นไปได้มากที่สุด นั่งลิสท์ออกมาเลย มินท์ก็คิดนะ ทำขนม เปิดร้าน เป็นอาจารย์ หรือทำหนังดี ทำหนังนี่อาชีพเก่าเราก็ทำได้ แต่เราฝากลูกไม่ได้นี่ ถ้าอย่างนั้นเค้กเป็นไปได้ที่สุดแล้ว” แล้วมินท์ก็เริ่มวางแผนการเงิน โชคดีเธอไม่มีหนี้สินอะไร เธอไม่เคยคิดทำอะไรที่ให้เกิดหนี้เลยดีกว่า และที่เราอึ้งมากคือ “ความจริงมินท์แพลนเรื่องเงิน ตั้งแต่วันที่คิดว่า เราอยากมีลูกแล้ว” แปลว่าเธอเก็บเงินเตรียมให้ลูกตั้งแต่ยังไม่มีแฟนเลยด้วยซ้ำ เก็บเตรียมเผื่อลูกเรียนจนถึงมหาวิทยาลัยเลย เพราะเธอคิดว่า “เราอยากมีลูก แต่ถ้าอยู่ดีๆ แฟนเราไม่เลี้ยงล่ะ เราก็ต้องให้ลูกได้สิ หรือถ้าเก็บๆ ไปไม่มีลูก เราก็เอาไปใช้เองตอนแก่ก็ได้” มินท์เลยค่อนข้างโอเคกับเรื่องเงิน พอถึงตอนต้องเลี้ยงลูกคนเดียว เธอเลยนิ่งๆ ค่อยๆ คิด และค่อยๆ ทำ

รายได้ทุกสิ่งพอมั้ย กับลูกหนึ่งคน

มินท์บอกเราว่า “พอเลย อาจไม่ได้เดือนหนึ่งเป็นแสนอะไร แต่ก็พอค่ะ” น้องมายเข้าโรงเรียน 3 ภาษาใกล้ๆ บ้าน ค่าเทอมรวมๆ ก็ปีละแสนกว่าบาท มินท์บอกว่า “เลยต้องเก็บไว้ให้ได้ปีละสองแสนกับค่าเรียนลูก” มินท์มีซื้อกองทุน และเล่นหุ้นนิดหน่อยด้วย กับเรื่องอนาคตมินท์เชื่อมั่นกับตัวเองว่า “เราวางแผนดีระดับหนึ่งแล้ว ภายในสองปีข้างหน้านี้ ไม่มีอะไรกระทบลูกแน่นอน”

ขอทำงานไปด้วย เลี้ยงลูกไปด้วยแบบนี้ล่ะ

มินท์บอกว่ากว่าจะมาเป็นวันนี้ ตอนแรกมีเหมือนกันที่แม่บอกว่า ให้เลี้ยงลูกอย่างเดียว มินท์ก็คิดเลยว่า “แล้วจะเอาเงินที่ไหนล่ะ จะให้ขอพ่อแม่ก็คงทำไม่ได้” อีกสิ่งหนึ่งที่เธอบอกกับเราก็คือ “ถ้าเราไม่มีความฝัน แล้วไม่เดินตามความฝัน ลูกเราจะเอาตัวอย่างจากใคร ไม่ว่าความฝันเราจะน้อยนิดยังไง ถ้าลูกเห็นเรา เชื่อเลยว่าวันหนึ่ง เขาจะรู้จักตัวเองว่าชอบอะไร แล้วเขาจะพยายาม ถึงจะมีอุปสรรค เขาก็จะไม่หยุด” มินท์ตอบแม่กลับไปแบบนี้ และเธอก็เริ่มทำฝันเล็กๆ ของเธอกับลูก จนมาเป็น Sookjai Healthy เพจขนมผิงของเธอ และเค้กเบียร์ดำที่ทำกี่ก้อนๆ ก็หมดอย่างเร็ว

ถามมิ้นตอนท้ายว่า อยู่แบบนี้กับลูกพอมั้ย มีความสุขดีมั้ย เธอบอกว่า

“เรามีความสุขในแบบของเรา มันเหนื่อย แต่คุ้มกว่าเยอะ สามปีแรกจะเสียสละทุกอย่างให้ลูก แต่จะไม่เสียตัวตนของเรานะ เพราะไม่อย่างนั้นสุดท้ายเราก็จะไม่มีพลังให้ลูกอยู่ดี เราต้องมีพลังของเราด้วย เด็กสัมผัสได้” และเหนือสิ่งอื่นใดคือ มินท์อยากให้ลูกมีพลังทำอะไรด้วยตัวเขาเองได้ตอนโต มินท์ว่ามันสำคัญกับการใช้ชีวิตในโลกนี้เลย

เพจของเธอ www.facebook.com/Sookjaihealthy ลองตามดูนะคะ

MomScream ขอขอบคุณคุณแม่มินท์ สุมีนา จงวัฒน์ผล คุณแม่ของน้องมาย สาวน้อยวัย 3 ขวบของเรา

4 November, 2017
Health & Fitness