
‘เข้มข้นยิ่งกว่าละครหลังข่าว’ คือความรู้สึกของเราหลังจากได้คุยกับคุณแมน ทีแปรง เรามีนัดกับคุณพ่อสุดฮ็อตคนนี้ในร้านกาแฟย่านอารีย์สัมพันธ์ แวบแรกที่เห็นเขามาในชุดเสื้อเชิ้ตทรงคาวบอยสีเขียวขี้ม้าถกแขนเสื้อ ทีเด็ดคือปลดกระดุม 2 เม็ดพอให้เห็นรอยสักและสร้อยสีเทอคว็อยซ์ของอินเดียนแดง สวมกางเกงชีโน่สีอิฐ รองเท้าผ้าใบเขียวเข้มกับหมวกแก็ปสีมัสตาร์ดนั้นก็ทำให้เราอยากติด #dadstyle ให้เขาไปเลย ถ้าคิดว่าสไตล์ของเขานั้นเท่แล้ว อยากจะบอกว่า แนวคิดที่ไม่ยอมแพ้ต่อโชคชะตาและการสร้างพลังบวกให้กับตัวเองต่างหากคือสิ่งที่เท่และชวนค้นหามากที่สุดในตัวคุณพ่อคนนี้
“ตอนนี้มีลูก 2 คน เป็นผู้ชายทั้งคู่เลยครับ” บุคลิกดุดันแบบชายฉกรรจ์กลับอ่อนโยนขึ้นมาทันตา (จนเราอดขำไม่ได้) เมื่อเขาพูดถึงลูกชายตัวแสบ “คนแรกผมเอานามปากกาผมตั้งเลย ชื่อน้องทีแปรง ส่วนคนที่สอง ผมอยากให้ทีแปรงเขามีส่วนร่วมในการตั้งชื่อน้องฮะ และเขาดันชอบไดโนเสาร์ตัวนึง เขาเลยบอกว่า ชื่อทีเร็กซ์ครับ ผมชอบ”
ตอนนี้ทีแปรง 4 ขวบ ทีเร็กซ์เพิ่งจะสี่เดือน ในขณะที่คุณแมนอายุเพียง 29 ปี ยังเด็กมาก นั่นเป็นเพราะว่าเขาเองมีน้องทีแปรงในช่วงเวลาที่ปุปปับจนคนรอบข้างต่างบอกว่าเขายังไม่พร้อมจะเป็นพ่อคนเลย “จะบอกไงดีล่ะ ตอนนั้นเราไม่คิดว่าตัวเองจะเป็นพ่อได้ดีกว่า เราเสียสละมากพอไม่ได้ เพราะเรายังรักตัวเองมากๆ อยู่” เขาเล่าต่อว่า น้องทีแปรงมาเร็วกว่าที่คิดไว้ ตอนนั้นยังเรียนไม่จบด้วยซ้ำ ด้วยความที่ต้องทำงานเพื่อจ่ายค่าเล่าเรียนเอง เขาจึงเริ่มชีวิตการทำงานเร็วกว่าเพื่อนวัยเดียวกัน ทำให้เรียนจบช้าจนพลันไม่อยากเรียน “เราทำงานได้แล้วก็จริง แต่เราลืมพ้อยท์ที่สำคัญไปว่า พ่อแม่เขาอยากได้ใบปริญญา เราลืมเอาสิ่งสำคัญให้เขา” จึงทำให้คุณแมนฮึดสู้เพื่อล่าปริญญามาให้ที่บ้านให้ได้ แต่แล้ว เหตุการณ์ไม่คาดฝันที่เข้ามาเปลี่ยนความคิดของคุณแมนไปตลอดกาลก็เกิดขึ้นตอนนั้นนั่นเอง
“ผมล้มก่อนจะพรีเซนต์ วูบไปเลย เพราะผมเป็นโรคเส้นเลือดตีบ” แทนที่จะเล่าอย่างหดหู่ แต่คุณแมนกลับยิ้มสู้ “ไม่ใช่เส้นเลือดตีบเพราะกินเหล้านะครับ แต่เป็นภูมิแพ้ตัวเอง เหมือนโรคพุ่มพวง แต่เป็นภูมิแพ้ในเส้นเลือด ชื่อโรคทากายาสุ” หมอยังบอกว่าหนึ่งในล้านจริงๆ ที่จะเจอโรคนี้ “จริงๆ ผมเคยอาการกำเริบมาแล้วตอนอายุ 20 ปี ไปดูหนังกับแฟนกับแม่แฟน รู้ตัวอีกทีคือมีฝรั่งหอบผมออกมาจากห้องน้ำที่สยาม เปียกเลือดเต็มเลย เหมือนเรากำลังล้างมือแล้ววูบจนหน้าไปกระแทกกับก๊อกน้ำ ตอนนี้ข้างในตัวผมมีบายพาส 3 เส้นแล้วครับ จากหัวใจขยายเต็มไปหมด” คุณแมนพักจิบเครื่องดื่มสีคล้ายเบียร์ดำ มีฟองบางๆ ติดหนวด แต่จริงๆ แล้วมันคือกาแฟไนโตรที่เสิร์ฟในแก้วเบียร์ทรงสูง เพราะเขาเลิกดื่มเหล้าอย่างเด็ดขาดแล้วนั่นเอง “แต่ตอนนั้น พอรู้ตัวว่าเป็นโรคนี้ปุ๊ป มันคิดอีกอย่างนึงเลยนะว่า ไหนๆ ก็เป็นแล้ว รีบสร้างอนาคตดีกว่า ผมอยากมีลูก คิดอย่างนั้น”
ฟังมาถึงตรงนี้ อาจเร็วไปถ้าคิดว่าจะจบแบบแฮปปี้เอนดิ้ง เพราะไคลแม็กซ์จริงๆ อยู่ต่อจากนี้ต่างหาก “คือช่วงที่ผมมีน้องทีแปรงเนี่ย ผมกับแฟนไม่ได้อยู่ด้วยกันครับ เขาหายไปจากชีวิตผม 6-7 เดือนเลย ตอนที่เขารู้ตัวว่าท้อง เขาอยู่กับแม่เขา ซึ่งตอนนั้น แม่เขาก็ค่อนข้างจะไม่ค่อยอยากให้ผมเป็นพ่อด้วย เพราะเขาเป็นซิงเกิลมัม เขาเจอเรื่องราวของพ่อเขามาเยอะ ในเมื่อเขาเลี้ยงลูกผู้หญิงคนเดียวได้ แล้วทำไมลูกจะเป็นแบบเขาไม่ได้ ซึ่งเราก็เศร้านะ ตอนหลังผมมารู้เหตุผลที่แฟนหนีไป เขาบอกว่า เขาไม่อยากเป็นภาระมากกว่านี้แล้ว เขาเองเห็นผมป่วย แมนเองก็ต้องรักษาตัวเอง ซึ่งมันหนักหนาสาหัสอยู่แล้ว แล้วแมนเองก็ต้องมาเลี้ยงดูผู้หญิงกับแม่เขาที่กำลังลำบากมากกับลูกอีกคนหรอ ซึ่งผมว่ามันตลก พูดอย่างนี้ได้ไง คือนั่นก็ลูกผมอ่ะ”
“เหมือนหนังน้ำเน่านะ เพราะกว่าผมจะรู้ว่าเขาท้องก็ตอนที่เขาเดินเข้ามาหาคุณอาของผม อาผมเป็นฝาแฝดกับพ่อ ซึ่งอาผมกำลังจะตาย เขามาวันนั้น เขาไม่ต้องพูดอะไร พอผมเห็นร่างเขาที่ท้อง ใช่ ลูกผมแน่นอน ผมร้องไห้เลย แล้วผมแบบ… ผมกำลังจะเสียอาซึ่งเป็นเหมือนพ่ออีกคนที่ดูแลผมมาตลอด แล้วพอผมเห็นแฟนมาแบบนั้น ผมไม่อยากเสียเขาไปอีกคน ผมบอกเขาเลยว่า ผมจะดูแลเขาเองนะ แล้วผมไปคุยกับแม่เขาว่าผมจะขอดูแลผู้หญิงคนนี้”
แน่นอนว่าตอนแรกแม่แฟนก็ไม่ยอม แต่มีหรือที่คุณแมนจะยอมแพ้ จึงไปปรึกษาพี่สาวแฟน “เขาเลยบอกว่า แมน กล้าไหม ให้แมนเข้ามาในวันรวมญาติ ผมก็เอาดิ ก็เลยไปหาพวงมาลัย เตี๊ยมกับพี่เขา เข้าไปที่บ้าน มันเป็นครั้งแรกที่ผมรู้สึกเลยว่า สายตาที่ทุกคนมองมาแบบจะกินเลือดกินเนื้อ มันเป็นยังไง น่ากลัวมาก เราเข้าไปไหว้ทุกคนแล้วบอกว่า ผมมาขอขมาทุกคนครับ ผมทำไม่ถูก ผมไม่เป็นสุภาพบุรุษพอ ผมจะรับผิดชอบทุกอย่าง สถานการณ์อึมครึมมากฮะตอนนั้น” แม้ตอนนั้นจะเครียดมาก แต่พอมาเล่าให้เราฟังตอนนี้ คุณพ่อสุดติสท์ก็ยังอดขำตัวเองไม่ได้
ด้วยความกดดันเพราะอยากเลี้ยงลูกกับภรรยาให้ดีที่สุด ทำให้คุณแมนสู้ตาย จนตอนนี้ เขาชนะใจทุกคนในบ้านได้แล้ว “ผมก็ไม่คิดเหมือนกันว่าจะมีวันนี้ การมีลูกทำให้ผมมีเป้าหมายในชีวิตนะ ผมมีบ้าน ซื้อรถได้ ทั้งๆ ที่ตอนนั้นผมแค่ 26-27 ปีด้วยซ้ำ เมื่อมานั่งดูไทม์ไลน์เทียบกับเพื่อนเรา ถือว่าเราเร็วมาก เออ มันแปลก ผมไม่เคยพร้อมเลยนะ แต่ทุกวันนี้โคตรดีใจเลย มักจะมีคำถามจากผู้ใหญ่ว่า มึงมีได้ไง มึงยังไม่พร้อม หลายคนบอกว่าต้องพร้อมก่อน ซึ่งมันดีนะ เหมือนผมเองก็เคยคิดว่า ผมอยากมีลูกตอน 30 กว่า 40 เป็นวัยที่ผู้ชายเท่ที่สุด แต่พอถึงตอนนั้น ผมเชื่อว่า ผมก็ยังไม่พร้อมอยู่ดี ตอนนี้ผมกลับเชื่อว่าความไม่พร้อมน่ะ แม่งทำให้พร้อม เออ มีไปเหอะลูก เดี๋ยวมันก็พร้อมเอง และใช่จริงๆ ถ้าผมไม่มีเขา ผมก็คงใช้ชีวิตแบบรักแค่ตัวเองไปเรื่อยๆ แต่พอมีเขา มันเปลี่ยนไปเยอะมาก แล้วมันลิงก์กับสิ่งที่เราเป็นอยู่ด้วย พูดง่ายๆ คือเราอาจจะตายเมื่อไหร่ก็ไม่รู้ แต่เรามีองครักษ์ที่รักแม่ ดูแลแม่แทนเรา คือลูกชายเราทั้งสองคน”
แมนๆ คุยกันครับ
มีใครเคยบอกไว้ว่าความรักทำให้ผู้ชายอ่อนโยน ดูเหมือนว่าหนุ่มหน้าหนวดตรงหน้าก็ไม่ใช่ข้อยกเว้น และเพราะทั้งพ่อและลูกเป็นผู้ชาย จึงมาพร้อมความมันส์ ความห่าม (ในระดับเรียกรอยยิ้มตาหยี) ที่แฝงอยู่ในวิธีการสอนลูกแบบแมนๆ คุยกัน
“อย่างเวลาที่เขาทำผิด ก็จะให้เขาไปยืนเข้ามุม แล้วให้สำนึกผิดตามอายุ ถ้าขวบนึง แค่หนึ่งนาทีกว่าๆ ก็ถือว่าโหดร้ายกับเขาแล้ว ให้เขามองสเปซขาวๆ แล้วให้คิดว่าเขาทำผิดอะไร แล้วมาตอบป๊าให้ได้นะ ได้ผลครับ เพราะเขาเป็นเด็กไฮเปอร์ ดื้อมาก ช่างพูด มันซน มันแสบ ไม่ได้ละ เราตามใจไม่ได้ ผมจึงเลี้ยงเขาเหมือนเราเป็นเพื่อนกันมากกว่า แต่ในความเป็นเพื่อน เราเป็นพ่อด้วย เราสามารถสอนเขาได้ ถ้าไม่ได้ทำผิดอะไร ก็ปล่อยให้เขาเป็นเด็ก เราจะไม่ยัดความเป็นผู้ใหญ่ให้เขา แต่ถ้าเราต้องการให้เขาเป็นผู้ใหญ่ เราต้องคุยกับเขาให้เหมือนเขาเป็นผู้ใหญ่ ถ้าเราง้องแง้ง เล่นกับเขาเหมือนเขาเป็นเด็กน้อย เขาก็จะเป็นเด็กน้อย” ปฏิบัติต่อเขาอย่างที่เราอยากให้เขาเป็น นั่นคือสิ่งที่คุณแมนสอนลูกๆ นั่นเอง
วีรกรรมของลูกชายตัวแสบยังไม่หมดแค่นั้น เพราะคุณพ่อเครางามคนนี้ยังคงเล่าได้ไม่รู้เบื่อ “อ๋อ ไปโรงเรียนวันแรก จำได้ว่าเพื่อนหัวเราะชื่อเขา เขารู้สึกว่าทำไมคนอื่นชื่อเท่ๆ แบบ ออกัสท์ การ์ฟิวส์ แล้วทีแปรงคือไร เพื่อนขำ โมโห ต่อยเพื่อน” จังหวะนั้นเองที่คุณแมนถึงกับหัวเราะลั่น “แต่เราก็ต้องบอกเขาว่า ไม่เท่เลยอ่ะ ไม่รู้เขาเป็นอะไรกับคำว่าเท่นะ เราจะรู้ว่าเขาชอบคำไหน ทีแปรงต่อยเพื่อนไม่เท่เลย เหมือนมนุษย์หินเลยอ่ะ ทีแปรงใช้กำลัง ไม่ดีนะลูก ไม่ฉลาดเลย ทีแปรงต้องใช้เหตุผลสิ ถ้าเขาหัวเราะ ทีแปรงก็ต้องถามว่าเขาว่า หัวเราะทำไมอ่ะ ไม่ตลกหรอก ทีแปรงมันหมายความว่าอย่างนี้นะๆ คุยกับเพื่อนดีกว่า เพื่อนจะได้เข้าใจ”
“ผมก็จะมีวิธีสอนแปลกๆ ของผมอย่างนี้ แล้วเขาจะมองเราเป็นเพื่อน ป๊าทำไร เขาก็จะทำตาม ทำให้เราต้องเปลี่ยนพฤติกรรมเราด้วย เพราะเราไม่อยากให้เกิดคำถามกับลูกว่า อ้าว ป๊าป่วย แล้วป๊าสูบบุหรี่ทำไม ผมเลยตัดสินใจเลิกขาดเลย การมีลูกเปลี่ยนแปลงหลายอย่างมากๆ มีวินัยขึ้น มีเป้าหมายขึ้น รู้จักวางแผนมากขึ้น ทำอะไรคิดหน้าคิดหลัง วิ่งชนงาน ทำทุกอย่าง และมันตัดสิ่งไม่จำเป็นในชีวิตออกไปมากขึ้น สมัยก่อนเราชอบซื้อของ ไม่ได้ว่ะ ต้องมี มันไม่ได้มาบ่อยๆ แต่ตอนนี้เห็นแล้วแบบ อ๋อ ค่าน้ำมัน ค่าเทอมลูก นั่นใช้พาลูกไปกินอะไรได้ สิ่งของพวกนั้นมันมีเสน่ห์นะ แต่มันหันมายิ้มและให้กำลังใจเราไม่ได้ แต่เวลาได้อยู่กับลูก เวลาผมกลับมาเหนื่อยๆ ป๊าเหนื่อยไหมครับ เหนื่อยสิ เหนื่อยมากเลย มานี่มา เดี๋ยวนวดให้ เขาจะมีความตอแหลของเขาฮะ (หัวเราะ) เราแบบ เห้ย ดีว่ะ ตอแหลดีว่ะ ชอบว่ะ โคตรดีเลยที่มีลูก”
น้ำเสียง รอยยิ้ม และแววตาคู่นั้นยิ่งยืนยัน เพราะมันฉายความสุขของการได้เป็นพ่อคนอย่างชัดเจน
“อย่างความภูมิใจของผมตอนนี้ บางคนก็ถาม เป็นศิลปินหรอ? เราก็บอก ไม่ เป็นพ่อนี่แหละ ภูมิใจที่สุด”
ก่อนจากกัน คุณแมนยังทิ้งท้ายสั้นๆ ด้วยถ้อยคำที่ยืนยันว่า ลูกคือความไม่พร้อมที่ดีที่สุดในชีวิตเขา ที่เข้ามาทำให้เขาเป็นลูกผู้ชายเต็มคน
“ลองมีนะ” คุณพ่ออารมณ์ศิลป์ว่าอย่างนั้น ก่อนใช้นิ้วปาดฟองกาแฟที่นิดหนวด เผยให้เห็นรอยยิ้มที่คนมีลูกเท่านั้นถึงจะเข้าใจความหมายที่แท้จริง
Copyright 2018 www.momscream.com
Facebook: Momscream