Family

9 กฎเหล็ก “สอนลูก” ของเชฟดัง (และรวยมาก) กอร์ดอน แรมเซย์



เพื่อแสดงจุดยืนของการทำหน้าที่พ่อ เชฟชื่อดัง กอร์ดอน แรมเซย์ได้กำหนดกฎเหล็กที่แสนจะโหดร้ายกับลูกๆอย่างชัดเจน ด้วยความหวังที่จะสอนให้ลูกได้รู้จักการทำงานและไม่ทำตัวเป็นเด็กรวยที่ทำอะไรไม่เป็นกัน

กอร์ดอนและภรรยาทาน่ามีลูกด้วยกันทั้งหมด 5 คน เมแกนอายุ 23 ปี ฝาแฝดแจ็คและฮอลลี่ อายุ 20 ปี มาทิลด้าอายุ 18 ปีและลูกหลงคนสุดท้อง ออสการ์วัย 2 ขวบ

เชฟกอร์ดอนโด่งดังจากรายการทีวีและเป็นเจ้าของกิจการร้านอาหารมีชื่อหลายสาขาทั่วโลก แต่ถึงจะดังและรวยขนาดนี้ กอร์ดอนก็ยังให้ความสำคัญกับครอบครัวเป็นที่สุด เขาสนิทกับลูกๆทุกคน และพยายามสอนลูกตามแบบฉบับของเขาเอง

กอร์ดอนเคยให้สัมภาษณ์ถึงวิธีการเลี้ยงลูกๆ ถึงแม้ว่ามันอาจจะดูโหดร้ายไปซักหน่อย(สำหรับลูกคนรวย) แต่กอร์ดอนเชื่อว่ากฎเหล็ก 9 ข้อนี้ล่ะจะช่วยทำให้ลูกๆ ของเขาโตขึ้นมาได้อย่างดี

1. ไม่ได้รับมรดกนับล้านของเขา

การเกิดมาเป็นลูกของเศรษฐีก็ฟังดูดีอยู่หรอก แต่ไม่ใช่สำหรับลูกๆของกอร์ดอน เชฟดังแสดงจุดยืนอย่างชัดเจน ว่าจะไม่ให้เงินจำนวนมากกับลูกๆ มากที่สุดที่พ่อคนนี้จะให้ได้ก็คือเงินจำนวนนึงสำหรับเป็นเงินก้นถุงในการหาที่อยู่อาศัยกันเอาเองเท่านั้น

กอร์ดอนให้สัมภาษณ์ว่า “ผมกับภรรยาตกลงกันไว้ก็คือ พวกลูกๆจะได้รับเงินมัดจำ 25% ของบ้านที่จะซื้อเท่านั้น ที่เหลือลูกๆต้องเก็บเงินจ่ายกันเอาเองเท่านั้น”

รวยซะขนาดนี้ แล้วเงินทั้งหมดของกอร์ดอนจะไปอยู่ที่ไหนล่ะ?

ไม่ต้องห่วงเลย กอร์ดอนและภรรยาเป็นผู้สนับสนุนองค์กรการกุศลจำนวนมาก เพราะฉะนั้นก็มีแนวโน้มว่าทั้งคู่วางแผนที่จะบริจาคเพื่อการกุศลกันต่อไปแน่ๆ

2. บินไม่ต้องหรู อย่าคิดว่าจะได้สบาย

แน่นอนว่าคนรวยและดังมากระดับกอร์ดอนต้องเดินทางบ่อยและบินตั๋วชั้นเฟิร์สคลาสกันอยู่แล้ว แต่ถ้าเมื่อไหร่ที่ลูกๆเดินทางบินด้วย เขาจะไล่ให้ลูกๆไปนั่งกันในชั้นประหยัดเท่านั้น

“เมื่อถึงช่วงวันหยุดผมจะบอกกับลูกๆว่า: ‘ลูกคงไม่กล้าเสียเงินซื้อชั้นเฟิร์สคลาสจากที่นี่ไปนิวยอร์คหรอกนะ พวกเราทุกคนเดินทางไปด้วยกันก็จริง แต่ลูกลองคิดดูสิว่าเงินค่าตั๋วแพงๆนี้จะเอาไปทำอะไรได้อีกตั้งมากมาย”

กอร์ดอนจะไม่ปล่อยให้ลูกๆใช้จ่ายอย่างฟุ่มเฟือย ถึงแม้พ่อแม่จะอยู่ชั้นเฟิร์สคลาส แต่ลูกก็ห้ามเข้ามาแวะหาเลยด้วย “ถึงแม้ลูกๆจะขอแว้บมาหาเพื่อทานอาหารอร่อยๆในชั้นเฟิร์สคลาส เราก็จะบอกว่า ‘ไม่ได้’ ผมว่าได้นั่งในชั้นประหยัดมันก็สบายดีนี่ เด็กอายุ  ขวบ หรือ 14 ขวบจะต้องนั่งเก้าอี้ใหญ่โตขนาดไหนเชียว”

“ผมได้ทำงานอย่างหนักเพื่อซื้อตั๋วที่นั่งนี้มา ลูกๆเองก็ต้องเรียนรู้ที่จะทำงานอย่างหนักเพื่อให้ได้สิ่งที่ดีที่สุดเหมือนกัน”

3. สอนจรรยาบรรณในการทำงานที่ดี

ในขณะที่กอร์ดอนมีเงินมากพอที่จะจ้างคนรับใช้ที่บ้าน แต่กอร์ดอนไม่ต้องการให้ลูกๆ ของเขากลายเป็นเด็กที่ทำอะไรไม่เป็นเลย

“ที่บ้าน เราขะมีการจัดเวรกัน ทุกคนจะต้องช่วยกันดูแลบ้าน มันเป็นระบบที่สำคัญมาก ลูกๆจะต้องช่วยกันจัดวางและเคลียร์โต๊ะอาหาร มันเป็นสิ่งสำคัญที่พวกเขาจะต้องเรียนรู้หน้าที่ของเขา การทำอาหารเอง เก็บของทุกอย่างเอง และก็ทำการบ้าน” เขากล่าว

แม้ว่ากอร์ดอนจะไม่ได้บังคับให้ลูกๆเดินสายมาทำธุรกิจของครอบครัว แต่กอร์ดอนก็ต้องการให้ลูกๆทุกคนรู้วิธีทำอาหารด้วยเหตุผลที่แตกต่างออกไป

เขากล่าวเสริมว่า: “ลูกๆทุกคนต้องทำอาหารได้ มันเป็นทักษะการใช้ชีวิตธรรมดาเท่านั้นเอง แต่ถ้าจะพูดถึงทักษะการทำอาหารแบบผม ซึ่งใช้มันเป็นอาชีพแล้ว ผมไม่เคยอยากใส่สิ่งนี้ให้กับลูกๆ” แต่ถ้าลูกๆสนใจอาชีพสายอาหารจริงๆล่ะก็ “ผมก็ไม่ต้องการให้พวกเขาเข้าครัวไปพร้อมกับการโดนตีตราว่านี่คือลูกของกอร์ดอน แรมเซย์นะ”

4. ข้อจำกัดในการเดินทาง

ดูเผินๆก็อาจเป็นเรื่องธรรมดาที่พ่อแม่จะไม่อยากให้ลูกเสียเงินไปกับแท็กซี่ แต่สำหรับคนที่รวยมากๆๆ ภาพที่เราคิดคือ… มีรถไปส่งและรับลูกที่โรงเรียนแน่ๆ  ภาพความจริง เดินสิคะ ฝนจะตกหรือหนาวแค่ไหนลูกก็ต้องเดิน!

“ลูกๆทุกคนมีบัตรโดยสารรถไฟใต้ดินในลอนดอน เค้าก็ควรจะใช้รถไฟใต้ดินในลอนดอนให้คุ้มค่าสิ ส่วนโรงเรียนก็ไม่ได้ไกลมากผมจะให้ลูกๆเดินไปและกลับจากโรงเรียน”

5. มังสวิรัติ

กอร์ดอนกล่าวอย่างชัดเจนว่าเขาไม่ได้เป็นแฟนของอาหารมังสวิรัติ อาหารขึ้นชื่อของเขาคือเนื้อวัว Beef Wellington และในความคิดของเขา การได้ทานอาหารอร่อยๆ ก็ต้องมีเนื้อสัตว์ด้วยสิ

ดูเหมือนว่าความกลัวที่สุดอย่างหนึ่งของกอร์ดอนก็คือ ถ้ามีลูกคนนึงประกาศว่าจะไม่กินเนื้อสัตว์อีกต่อไป ดังนั้นเขาจึงมีการลงโทษที่รุนแรงอยู่ในใจ

“ฝันร้ายที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของผมคือถ้าเด็กๆ มาบอกว่า ‘พ่อ หนูจะเป็นมังสวิรัตินะ’ “มันคงเป็นประโยคที่ทำให้ผมแทบคลั่งเลยล่ะ”

ตั้งแต่อายุยังน้อยกอร์ดอนจะให้ความรู้แก่เด็กๆ ว่าอาหารของพวกเขามาจากไหน เอาจริงๆก็คือ พ่อเองก็อยากทำอาหารอร่อยๆให้ลูกกิน พ่อขอร้องเถอะ ลูกช่วยทำตัวง่ายๆและทานอาหารที่พ่อคิดว่าอร่อยด้วยเถอะนะ

6. ลูกๆต้องหางานกันเอาเอง

กอร์ดอนเป็นเจ้าของร้านอาหารมากมาย แต่มันก็ไม่ใช่ธุรกิจครอบครัวเพราะเขาจะห้ามไม่ให้ลูกๆ ของานจากเขาอย่างเด็ดขาดกอร์ดอนเคยให้สัมภาษณ์ในรายการวิทยุของสหรัฐอเมริกาว่า “ผมจะหนักแน่นในความยุติธรรมและผมจะมอบทุกสิ่งที่มีเพื่อพาลูกๆไปสู่จุดสูงสุด แต่ต้องไม่ใช่การสร้างทางลัดให้พวกเขา”

กอร์ดอนกล่าวเสริมว่า “มันเหมือนกับการไม่จ้างเด็กๆ ฉันไม่ต้องการให้พนักงานคิดว่า.. เฮ้ย! นี่มันลูกของกอร์ดอน แรมเซย์เชียวนะ”

กอร์ดอนบอกว่า “ผมจะดีใจที่ลูกสนใจในธุรกิจที่ผมทำ แต่ถ้าลูกอยากทำงานในธุรกิจนี้จริงๆ ลูกคงต้องเรียนรู้จากเชฟคนอื่นก่อน เพื่อจะได้เรียนรู้สิ่งที่แตกต่างและกลับมาพร้อมกับสิ่งใหม่ๆ เพื่อจะได้ปรับปรุงธุรกิจต่อไปได้”

7. ห้ามเลียนแบบคำสบถ

ใครๆที่รู้จักกอร์ดอนจะรู้ว่าเขามีชื่อเสียงจากการระเบิดปากร้ายทางทีวี หลายๆซีรี่ย์ของเขา จะต้องมีการสบถแบบไม่เกรงใจใครเอาซะเลย ถึงแม้เขาจะมีชื่อเสียงจากการตะโกนคำสบถ แต่กอร์ดอนก็ไม่ต้องการที่จะส่งต่อนิสัยนี้ให้กับลูกหลานของเขา ..

เป็นกรณีของการ ‘ทำตามที่ฉันพูดไม่ใช่อย่างที่ฉันทำ’ อย่างแน่นอนเพราะลูก ๆ ของเขาเติบโตมาพร้อมกับคำศัพท์ที่ดีกว่ามาก

“ผมคิดว่าการสบถเป็นภาษาที่ใช้ในชีวิตทำงาน ตราบใดที่ผมยังมีชีวิตอยู่มันก็จะไม่เปลี่ยนแปลง คุณจะต้องมีความเดือดดาลเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ต้องการ” กอร์ดอนอธิบาย

“ลูกๆเองรู้ว่าผมพูดคำหยาบแค่ไหน ผมจะพูดเป็นภาษาที่ใช้ระหว่างการทำงานเท่านั้น ผมก็ไม่ได้จะเดินไปรอบๆบ้านเพื่อพูดสบถออกมา และผมก็สั่งไม่ให้ลูกๆทำแบบนั้นด้วย”

8. การออกเดทที่ทำให้กลืนไม่เข้าคายไม่ออก

กอร์ดอนยังมีคำแนะนำ(หรือสั่ง)ว่าลูกๆของเขาสามารถออกเดทกับใครได้บ้าง คำสั่งเรื่องการออกเดทของลูกเกิดขึ้นเมื่อลูกๆของเขาเริ่มจะสนิทกับลูกๆตระกูลดังของเดวิดและวิคตอเรีย เบ็คแฮม เมื่อมิตรภาพของทั้ง 2 ครอบครัวเกิดจากตอนที่กอร์ดอนจัดงานเลี้ยงก่อนฟุตบอลโลกของเบ็คแฮมเมื่อปี 2549

พวกเขามีความผูกพันกันในฐานะคนดังชาวอังกฤษที่อาศัยอยู่ในอเมริกาเหมือนกัน และภรรยาของกอร์ดอนทาน่าเองก็เริ่มสนิทกับวิคตอเรียมากขึ้นเมื่อทั้งสองครอบครัวย้ายไปอยู่ที่แอลเอ

การมีลูกในวัยใกล้เคียงกันหมายความว่าพวกเขากลายเป็นเพื่อนกันด้วย ซึ่งเห็นได้ชัดเมื่อมีภาพลูกๆพากันไปฉลองคริสต์มาสด้วยกันเมื่อปี 2559

ครูซ เบ็คแฮมเคยให้ภาพของเขาว่ายน้ำกับเต่าทะเลกับทิลลี่ลูกสาวของกอร์ดอนด้วย

อย่างไรก็ตามกอร์ดอนก็ได้แสดงความหวงของพ่อ และได้เตือนลูกสาวว่าอย่าเข้าไปยุ่งกับลูกชายของเบ็คแฮมมากเกินไปนะ เพราะมันน่าจะวุ่นวายเชียวล่ะ ทิลลี่เองก็ดูจะเชื่อฟังพ่อ ส่วน ฮอลลี่ลูกสาวคนโตก็ยืนยันกับพ่อ ว่าเธอและบรู๊คลิน ลูกชายคนโตของครอบครัวเบ็คแฮมก็เป็นแค่เพื่อนกัน พ่อไม่ต้องห่วงหรอกนะ

9. เงินค่าขนม

กอร์ดอนเติบโตขึ้นมาในครอบครัวที่ไม่ค่อยจะรวยนักในเมืองกลาสโกว์ สกอต์แลนด์ เขาจึงมีการเลี้ยงดูที่แตกต่างกันโดยสิ้นเชิงกับลูกๆ

ในวัยเด็กความหลงใหลในการทำอาหารเป็นแรงบันดาลใจให้เขาอยู่เสมอ มากกว่าความปรารถนาที่จะร่ำรวยเสียอีก ดังนั้นเขาจึงพยายามสร้างความคิดเดียวกันให้กับลูกๆ ของเขา

“พวกเขามีชีวิตที่แตกต่างไปจากที่ผมเติบโตมาโดยสิ้นเชิง ผมทำงานหนักมากเพื่อหาเงินสร้างครอบครัว”

ในปี 2560 กอร์ดอนเปิดเผยว่าเขาให้เงินค่าขนมลูกที่อายุน้อยที่สุด 50 ปอนด์ต่อสัปดาห์หรือประมาณ 2,000 บาท (ถ้าเทียบถึงระดับความแพงของค่าครองชีพที่ลอนดอนแล้ว ถือว่าเป็นเงินที่น้อยไปหน่อยนะสำหรับครอบครัวที่รวยระดับนี้) ขณะที่ลูกสาวเม็กได้รับเงินสองเท่าตอนเรียนที่มหาวิทยาลัย เงินประมาณ 400 ปอนด์ต่อเดือน หรือประมาณ 17,000 บาทอาจฟังดูเยอะก็จริง แต่ถ้าเทียบกับค่าครองชีพที่อาหารมื้อนึงก็ 500 บาทแล้ว แถมยังต้องครอบคลุมค่าใช้จ่ายทั้งหมดตั้งแต่ค่าเดินทาง เสื้อผ้าและโทรศัพท์มือถืออีกด้วย

นอกจากจะต้องทำตามกฎของพ่อแล้ว กอร์ดอนยังสนับสนุนให้ลูกๆทำงานเพื่อช่วยเหลือคนอื่นด้วย ข้อนี้ไม่ได้บังคับนะ แต่กอร์ดอนจะปูพื้นฐานให้ลูกๆมีจิตสำนึกที่จะช่วยเหลือผู้อื่นด้วย

ในช่วงสี่ปีที่ผ่านมาลูกๆของเขายังเป็นอาสาสมัครที่โรงพยาบาล Great Ormond Street ลูกๆของกอร์ดอนจะยอมสละเวลาเพื่อช่วยเหลือทำความสะอาดและใช้เวลากับเด็กๆที่โรงพยาบาลอย่างไม่เห็นแก่ตัว

เชื่อฟังคุณพ่อซะขนาดนี้ ลูกๆให้คุณพ่อกอร์ดอนภูมิใจอย่างแน่นอน!!!

Credit: Instagram/Tana Ramsay   Instagram/gordongram instagram.com/tillyramsay

LIKE US > Facebook/Momscream

Tags:
12 April, 2021
Family